Thursday, August 30, 2012

บทความ : ออกเดินทาง


          เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมามีโอกาสที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งเข้ามาในชิวิตผม ซึ่งตัวผมเองไม่แน่ใจนักว่าโอกาสลักษณะที่ว่านี่ จะถือว่ายิ่งใหญ่สำหรับทุกคนหรือไม่เพราะอันที่จริงแล้วมันอาจเป็นเรื่องสุดแสนธรรมดาของใครหลายๆคน แต่มันเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับผมอย่างแท้จริง และมันก็ได้มอบประสบการณ์ที่มีผลเป็นอย่างมากต่อชีวิตของผมเลยทีเดียว โอกาสที่ว่านี่คือ "ผมได้เดินทางไปต่างประเทศ"

อันที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิต ผมเคยไปต่างประเทศมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกผมมีโอกาสได้ไปทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทยเราครับ "สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว" คราวนั้นผมออกจากประเทศไทยที่จังหวัดหนองคาย เข้าสู่"เวียงจันท์" จากนั้นก็ทำงานล่องขึ้นทางเหนือไปเรื่อยๆจนไปสิ้นสุดที่"หลวงพระบาง" ขากลับก็นั่งรถตู้กลับกรุงเทพโดยแวะพัก 1 คืนที่เวียงจันทร์ ถึงแม้ว่าจุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนั้นคือการไปทำงาน แต่มันก็ยังทำให้ผมรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก  งานในคราวนั้นขึ้นแท่นเป็นงานที่สนุกที่สุดในชีวิตการทำงานของผมจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีงานใหนมาล้มแชมป์ลงได้ อีกทั้งประเทศ"สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว" ก็ยังเป็นประเทศที่น่ารักเป็นอย่างมากในความทรงจำของผมอีกด้วย

แต่เหนืออื่นใด สิ่งที่ประทับใจผมมากที่สุดคือ"การเดินทาง" เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมได้รู้ว่า การเดินทางมันช่างเป็นอะไรที่สุดแสนจะสนุก ตื่นแต้น และมีความสุขมากๆ แม้ว่าสถานที่ๆเดินทางไปนั้นมันจะไม่ได้ไกลอะไรมาก ผู้คนก็เหมือนๆคนบ้านเรา แต่กลับรู้สึกว่าความแตกต่างเพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น สามารถทำให้รู้สึกตื่นเต้น และก่อให้เกิดความอัศจรรย์ใจได้ไม่ใช่น้อย จนพามาซึ่งความสุขใจที่ได้มาพบเห็นด้วยตาของตัวเอง หลังจากกลับมาจากการเดินทางครั้งนั้น ผมก็มั่นใจว่าตัวเองเป็นคนที่ชื่นชอบหลงใหลการเดินทางคนหนึ่ง และมีความคิดว่าในชีวิตของผมต่อไปจากนี้ไปจะต้องหาเรื่องออกเดินทางอีกเยอะๆ ออกไปพบไปเห็นให้มากๆให้ทั่วๆที่สุดเท่าที่จะทำได้



การเดินทางไปต่างประเทศครั้งที่ 2 ของผม ไกลจากประเทศไทยออกไปอีกนิดหน่อย "เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน "(ชื่อยาวมากขอขอบคุณวิกิพีเดีย) อันที่จริงแล้วการเดินทางครั้งนี่ยังมีหลักใหญ่ใจความเป็นเรื่องงานเช่นเดียวกันกับครั้งแรก แต่หากจะพูดให้พอนึกภาพออกก็เอาเป็นว่า ผมได้รับมอบหมายจากที่ทำงาน(ที่น่ารัก)ให้เป็นผู้ส่งพัสดุไปยังฮ่องกงโดยที่ ที่ทำงาน(ที่น่ารัก)จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินไป-กลับ(ของตัวผมเองบวกผู้ติดตามอีก1ท่านด้วย น่ารักไหมเล่า)พร้อมกับที่พัก 1 คืน โดยเมื่อผมทำหน้าที่ส่งพัสดุเรียบร้อยแล้ว(ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่ต้องจัดการปฏิบัติทันทีเมื่อไปถึง) ช่วงเวลาที่เหลือจนกว่าจะถึงเวลากลับ คือประมาณ 2 ทุ่มของอีกวัน(รวมแล้วมีเวลาประมาณ1วันครึ่ง)นั้นเป็นอิสระของผมที่จะเที่ยวไปดู,ไปทำอะไรก็ได้ตามแต่ที่อยากไป ถึงแม้ครั้งนี้จะเป็นการเดินทางที่มีเวลาเพียงสั้นๆแค่ไม่ถึง 2 วันดี แต่ความประทับใจก็ยังเต็มเปี่ยมไม่ต่างจากครั้งแรกแต่อย่างใด

การเดินทางหนนี้"ความแตกต่าง"ของสิ่งที่พบเห็นมีมากขึ้น ความแตกต่างในที่นี้ของผมหมายถึงความแตกต่างระหว่างสถานที่นั้นๆกับชีวิตปกติประจำวัน โดยครอบคลุมไปทุกอย่างทั้ง ผู้คน ภาษา สิ่งแวดล้อม อากาศ กิจวัตรความเป็นอยู่ เหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งพอความแตกต่างมีมากขึ้น มันก็คือความแปลกใหม่ที่ได้พบ ความตื่นเต้นก็มีมากขึ้นตามไป ตอกย้ำความรื่นรมย์ของการออกไปท่องเที่ยวเข้าไปอีก การเดินทาง 2 ครั้งที่ผ่านมาต่างก็สร้างความประทับใจให้ได้เก็บไว้ในความทรงจำด้วยกันทั้งนั้น พาให้วาดฝันว่าจะเป็นอย่างไรถ้าได้ไปในที่ที่มันแตกต่างมากกว่านี้ แปลกใหม่มากกว่านี้ และยังมั่นใจได้ว่าการเดินทางทุกๆครั้งต่อไปในชีวิตจะต้องเกิดความทรงจำที่น่าประทับใจขึ้นอย่างแน่นอน




          และแล้วการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ขึ้นก็ได้มาถึง คราวนี้สถานที่ๆจะไปมันไกลกว่าที่เคยมาก แถมมีระยะเวลาที่ยาวนานได้ใจเมื่อเทียบกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา จุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้คือการไปร่วมในงานรับประกาศษณียบัตรสำเร็จการศึกษาของพี่ชาย(ลูกพี่ลูกน้อง)ของผม ณ ประเทศเยอรมันนีโดยจะถือโอกาสไปเยี่ยมบรรดาญาติๆที่นั้นและเที่ยวไปด้วยในตัว โดยมีกำหนดเวลาเกือบ 1 เดือนเต็มๆสำหรับการเดินทางครั้งนี้ แถมยังจะได้เดินทางไปเที่ยวที่ประเทศใกล้เคียงอย่างฝรั่งเศษอีกด้วย  เกือบ1เดือนเต็มในยุโรปที่ซึ่งไกลจากบ้านเป็นซีกโลก เวลาต่างกัน 5 ชม สิ่งที่ผมจะได้ไปพบเจอ ความแตกต่างที่ผมจะได้สัมผัส ความแปลกใหม่ที่รออยู่เป็นภูเขาเลากา สำหรับผมแล้วนี่เป็นโอกาสและเป็นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ไปเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเก็บกระเป๋าซะด้วยซ้ำไป



          ในเวลาที่คนเราได้ออกเดินทางไปจากชีวิตประจำวันของตนเองในแต่ละครั้ง ผมคิดว่า ณ เวลานั้นเราได้เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ได้ถึงขนาดแตกต่างเป็นบุคลิกภาพที่ 2 หรืออะไรเหมือนในหนังในนิยาย แต่เป็นอีกคนที่เราไม่ได้เป็น เวลาที่อยู่ในชีวิตปกติประจำวันทั่วๆไป ฟังดูแปลกและเกินจริงใช่ไหมครับ ผมจะลองขยายความดูอย่างนี้แล้วกัน

คนเราเกิดและเติบโตขึ้นมาด้วยการเรียนรู้ ซึมซับหล่อหลอมขึ้นมาเป็นลักษณะนิสัยใจคอ ความคิด,การแก้ปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่าง เราได้มาจากผลลัพธ์ของการเรียนรู้ต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ในช่วงเริ่มต้นเราเรียนสิ่งหลักๆสำหรับชีวิต เช่น การพูด การเดิน การวิ่ง การกินอาหาร อาบน้ำแต่งตัว เราเรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้ในตอนที่เรายังเด็กกันมาก สิ่งที่เราพลาดไปคือเราไม่สามารถ"จดจำ"ได้ว่าตัวเองตื่นเต้นแค่ไหนตอนที่เปล่งเสียงคำแรกออกมาเป็นภาษาคนได้หลังจากพยายามมานานก็ได้แต่อ้อเอ้ๆ หรือเรากลัวจับใจแค่ไหนกว่าจะกล้าทำตัวตรงๆแล้วก้าวเท้าเดินออกไป หลังจากที่คลานอย่างมั่นคงมานาน เราไม่สามารถจดจำความรู้สึกเหล่านั้นได้

และเมื่อเราเริ่มจดจำความได้ โลกก็ช่างเต็มไปด้วยสิ่งที่ตื่นเต้น ขี่จักรยานครั้งแรก ว่ายน้ำครั้งแรก ไปโรงเรียนครั้งแรก ขึ้นรถเมล์คนเดียวครั้งแรก ทั้งหมดถูกเก็บไว้เป็นความทรงจำของเรา จากนั้นพอเราเรียนรู้สิ่งที่สำคัญในการใช้ชีวิตมาหมดแล้ว เราก็นำมันมาใช้ชีวิตไปในแต่ละวัน มันเหมือนกับเราเปิดใช้งานตัวตนแห่งการดำเนินชีวิตอย่างเต็มที่ แล้วเราก็หรี่ตัวตนแห่งการเรียนรู้ของเราลง เราไม่ได้ปิดซะทีเดียวเพราะแน่นอนว่าชีวิตยังมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นต่อไป ถูกต้องที่ชีวิตเราต้องพบกับการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ ทุกครั้งที่สิ่งใหม่เกิดขึ้นเราก็จะเร่งตัวตนของการเรียนรู้ขึ้นมาใช้งาน แต่ลองนึกดูว่าเราจำได้หรือไม่ว่าตัวตนแห่งการเรียนรู้ของเรานี่นี้เร่งได้แรงสุดแค่ไหน และมันจะรู้สึกอย่างไร

และเมื่อเราออกเดินทาง ออกไปจากชีวิตประจำวัน ออกไปจากสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย นั่นมันก็คือเวลาที่ระบบตัวตนของเราทั้ง 2 ระบบนี้ถูกกลับค่ากันอย่างชัดเจน เราต้องเปิดตัวตนแห่งการเรียนรู้อย่างเต็มที่ แล้วยิ่งสิ่งที่พบเจอมันมีความแตกต่างแค่ไหน มันก็ยิ่งเหมือนกลับไปเรียนรู้ใหม่หมด สิ่งที่เคยเรียนรู้มา เคยทำมามันใช้ไม่ได้ ไอ้ภาษาคนที่เคยพูดได้มันไม่มีใครเข้าใจอีกต่อไป อาหารที่เคยทานไม่มีให้ทาน มันเหมือนเรากลับไปในตอนที่กำลังเรียนรู้สิ่งต่างๆเพื่อจะใช้ชีวิตให้ได้อีกครั้งหนึ่ง เรียนรู้สิ่งหลักๆในชีวิตอีกครั้งในแบบที่ต่างออกไป แต่คราวนี้เราจะสามารถจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเอาไว้ได้ ซึ่งตัวตนแห่งการเรียนรู้แบบเปิดเต็มที่นี้แหละ ที่ผมบอกว่าเป็นเหมือนเราอีกคนหนึ่งที่อยู่ในตัวของเราเอง


นอกจากนี้การเดินทางนั้น มักจะทำให้เราได้พบกับคำตอบของหลายอย่างที่เราเคยสงสัย หรือแม้แต่บางอย่างที่เราอาจไม่เคยนึกสงสัย แต่เราก็อาจจะค้นพบได้จากการเดินทาง จริงอยู่ว่าเราสามารถค้นพบคำตอบของสิ่งต่างๆได้โดยไม่ต้องเดินทางไปไหน ยิ่งในสมัยปัจจุบันนี้ด้วยแล้ว เพียงแต่เราอาจจะไม่สามารถ"เข้าใจ"และ"รู้สึก"ถึงเหตุและผลนั้นได้ หรือถึงแม้จะได้ แต่น้ำหนักของมันจะเทียบไม่ได้กับการที่ได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ผมเคยสงสัยว่าทำไม่ฝรั่งถึงชอบนอนอาบแดด (ฝรั่งในที่นี้ของผมหมายถึงชาวต่างชาติที่มีผิวสีขาวโดยครอบคลุมทั้งชาวยุโรป อเมริกา รัซเซีย ออสเตเรีย ฯลฯตามที่คนไทยเรานิยมเรียก เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ และขอให้เข้าใจไปในทางเดียวกันตามนี้นะครับ) และคำตอบที่รับรู้จากการบอกเล่าก็คือ เพราะบ้านเมืองเค้าเป็นเมืองหนาวไม่ค่อยมีแดดอย่างบ้านเรา เค้าจึงไม่ค่อยได้มีโอกาสรับวิตามินจากแสงแดด นั่นเป็นคำตอบสำหรับข้อสงสัยเรื่องฝรั่งอาบแดดที่ประทับลงในความรู้ความเข้าใจของตัวเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คำตอบนั้นมันไม่ได้ผิดครับ แต่มัน"ไม่สุด"

จนถึงวันที่ผมได้ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมของฝรั่งเค้าจริงๆ ผมได้สัมผัสรับรู้ว่าเวลาอากาศหนาว ลมเย็น ของที่นั้นมันเป็นอย่างไร หนาวแค่ไหน (ถึงแม้ว่าช่วงที่ผมเดินทางไปจะตรงกับหน้าร้อนแต่ก็ยังมีบางช่วงที่อากาศเย็นสำหรับผมอยู่ดี) นอกจากนั้นอากาศยังชื้นๆแบบชนิดที่ไม่สามารถทำให้ผ้าที่ซักและตากไว้แห้งสนิทได้ วันไหนที่แดดออก(ซึ่งไม่ได้ออกทุกวัน)ผู้คนก็พากันออกจากบ้านมานั่งๆนอนๆกลางแดดตามสวน,ตามสนามหญ้า,ตามสถานที่กลางแจ้งต่างๆกันเต็มไปหมด เพราะเวลาได้ไปอยู่กลางแดดมันช่างรู้สึกอบอุ่นสบายเสียเหลือเกิน สำหรับฝรั่งความสบายมันเป็น"อบอุ่นสบาย"ครับ ของบ้านเราเป็น "เย็นสบาย" และหากไม่ได้ไปสัมผัสเองผมก็คงนึกไม่ออกหรอกครับว่า อบอุ่นมันจะสบายได้อย่างไร สบายได้ถึงแค่ไหน เพราะที่นั่นเวลานั้น ผมเองก็วิ่งเข้าหาแดดไปกับเค้าด้วยเช่นกันครับ


สิ่งที่ค้นพบนอกเหนือไปจากนั้นก็คือ แดดที่นั้นไม่ได้มีความแรงเท่าแดดบ้านเรา วันหนึ่งผมมีความจำเป็นต้องไปเข้าคิวเพื่อชมสถานที่ท่องเที่ยวสถานที่หนึ่งใน"ปารีส" ซึ่งวันนั้นมีคนเข้าชมเยอะมากและผมต้องยืนอยู่กลางแดดเป็นเวลา 2 ชั่วโมงกว่า หากเป็นบ้านเราเรื่องที่ตัวจะดำขึ้นนี่ไม่ต้องพูดถึง แถมผิวคงจะมีการไหม้เกิดขึ้นบ้างอย่างแน่นอน แต่ผลปรากฏว่าการยืนตากแดดครั้งนั้นแทบไม่มีผลใดๆต่อผมเลยสักนิด ซึ่งผมคาดเดาว่าคงเป็นเพราะบ้านเราอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร ดวงอาทิตย์คงอยู่ใกล้กว่า แผ่รังสีอมาได้มากกว่าที่ยุโรปนี้ เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อว่ามันจะส่งผลต่างกันขนาดนี้ทั้งๆที่อยู่บนโลกกลมๆดวงเดียวกันนี่เอง เรื่องที่ยกมานี่คือตัวอย่างของคำตอบที่ได้จากการเดินทาง เป็นคำตอบที่เราประทับมันไว้ด้วยความเข้าใจ จากการพบเจอด้วยตัวของเราเอง ซึ่งมันมีน้ำหนักมากกว่าจากคำบอกเล่ามากนัก การเดินทางในครั้งนี้ให้คำตอบประเภทที่คล้ายๆกันอย่างนี้ให้แก่ผมอีกหลายต่อหลายเรื่อง การพบเจอคำตอบเหล่านี้เป็นความสนุกสนานอย่างหนึ่งเมื่อเราคอยมองหามันในแต่ละครั้งที่เราออกเดินทาง



          ส่วนตัวผมเองแล้วคิดว่า การเดินทางนั้นเป็นเหมือนกับกำไรของชีวิต คือเราสามารถไม่มีมันก็ได้ ถึงแม้เราจะไม่ต้องเดินทางไปไหนเลยก็ยังสามารถใช้ชีวิตไปได้อย่างไม่เดือดร้อนอะไร แต่เมื่อเราได้ออกเดินทางไป เราจะได้ไปพบกับสิ่งที่นอกเหนือจากชีวิตของเราเอง นั้นคือชีวิตของคนอื่น ผู้คนที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาในแบบที่ไม่เหมือนกับเรา ดำเนินชีวิตผ่านปัจจัยรอบตัวที่ต่างจากเรา และเราจะได้ทดลองดำเนินชีวิตแบบคนอื่นในช่วงเวลาสั้นๆที่เราเดินทาง เป็นการออกไปรับรู้ชีวิตแบบอื่นผมถึงคิดว่ามันเป็นกำไรของชีวิต

แน่นอนว่าการจะออกเดินทางไปหากำไรชีวิตในแต่ละครั้ง มันไม่ได้ไปกันง่ายดายเช่นนั้น ทั้งเรื่องปัจจัยเงินทอง ทั้งเรื่องเวลาโอกาส ภาษา วีซ่า และเรื่องอื่นๆอีกมากมายหลายหลากเหลือเกิน ที่เป็นอุปสรรคขวางทางเราอยู่ แต่อย่างหนึ่งที่ผมอยากจะยืนยันคือ ผลตอบแทนที่จะได้มามันคุ้มค่าแน่นอนกับการที่เราจะสู้เพื่อให้ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายเหล่านั้นและได้ออกเดินทางไป ตราบใดที่เราไม่นำอุปสรรคเหล่านั้นมาใช้เป็นข้ออ้างให้กับตัวเองไปเสียก่อน


สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ผมอยากจะเล่าคือข้อดีทั้งหลายทั้งปวงของการเดินทางที่ได้กล่าวมา มันเป็นสิ่งที่เราจะไม่สามารถรับรู้หรือรู้สึกได้เลยถ้าเราไม่ได้ออกไปเจอด้วยตัวของเราเอง ที่กล้าบอกเช่นนี้เพราะผมได้เรียนรู้มันจากตัวเอง ตัวผมนั้นมีคนใกล้ตัวคนหนึ่งซึ่งเธอได้เคยออกเดินทางไปก่อนผม และได้กลับมาพร้อมกับบรรดารูปถ่าย คำบอกเล่าเรื่องราว ความรู้สึก ความนึกคิด รวมถึงผลลัพธ์ของสิ่งต่างๆที่ได้รับมาจากการเดินทาง ในตอนนั้นตัวผมเองก็มีความตื่นเต้นร่วมไปกับเธอด้วย และรับฟัง,รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอนำมาถ่ายทอดให้ โดยที่คิดว่าเข้าใจมัน แต่เมื่อผมได้ออกเดินทางไปด้วยตัวเองแล้ว ถึงได้รู้ว่านั้นมันไม่สามารถเรียกได้ว่าความเข้าใจเลยสักนิด มันเป็นแค่เรื่องที่เรารับรู้เพียงเท่านั้น เรื่องราวที่ผ่านการสังเคราะห์โดยตัวเราเองนั้นมันถึงจะมีน้ำหนักของความเข้าใจอยู่จริงๆ ดังนั้นเชื่อผมเถอะครับเมื่อใดที่คุณออกเดินทางไปด้วยตัวเอง คุณจะเข้าใจได้ในสิ่งที่คุณเคยรับรู้ และคุณจะรู้สึกได้ในสิ่งที่คุณเคยเข้าใจ



 
          อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับว่าการเดินทางที่ผมพูดมาตั้งแต่ต้นนี่ มันจะต้องเป็นการเดินทางไปไกลๆ ไปต่างจังหวัด ต่างประเทศเพียงเท่านั้น ผมให้ความสำคัญกับตรงที่ว่ามันเป็นการเดินทางที่ต่างออกไปจากชีวิตปกติประจำวัน เป็นการออกไปใช้ตัวตนแห่งการเรียนรู้ของเรา เพราะฉนั้นระยะทางมันจึงไม่ใช้สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่เราตีความว่าสิ่งที่แตกต่างจากการใช้ชีวิตปกติประจำวันของเราคืออะไร และเราเปิดตัวเองสำหรับการมองหาและเรียนรู้สิ่งต่างๆมากแค่ไหน เพราะฉนั้นมันอาจจะไม่ต้องออกไปไหนไกลๆก็เป็นได้ เพียงแค่ว่าระยะทางที่ไกลออกไปมันก็เพิ่มโอกาศที่เราจะพบเจอสิ่งที่แต่งต่างได้มากกว่า และมันก็จะสนุกตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้นเองครับ อย่างไรก็ตามสุดท้ายนี้ขอให้ทุกๆคนสนุกกับการออกเดินทางของตัวเองนะครับ..........


(สำหรับเรื่องราวของการเดินทางไปที่ประเทศเยอรมันและฝรั่งเศษของผม ผมได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่ก่อนไปว่าจะพยายามเรียบเรียงนำมาเขียนเป็นบทความให้ได้ คิดว่าวันใดวันหนึ่งจะต้องสำเร็จออกมาอย่างที่หวังไว้แน่นอนครับ เพียงแต่ยังไม่ทราบว่าเมื่อใดเท่านั้นเอง)

Wednesday, April 25, 2012

บทความ : ชีวิตโชกโชน

 
     ทิ้งให้บล็อกหยุดนิ่งอยู่นานมากทีเดียว แต่ก็ตามที่ได้ตั้งใจไว้ว่าจะไม่หยุดที่จะทำไม่หยุดที่จะเขียน ยังไงๆก็ต้องหาเรื่องหาราวมาเขียนต่อไป เพราะได้รับรู้ถึงประโยชน์แห่งการเขียนและการอ่านที่บังเกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างชัดเจน คือรู้สึกได้ว่าตัวเองสามารถนึกหา"คำ" หรือประโยคเพื่อจะนำมาใช้อธิบายสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้อย่างเหมาะสมและรวดเร็วขึ้น ทำให้คาดหวังว่าการฝึกเขียนฝึกเล่าต่อไปจะทำให้ตัวเองพัฒนาขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ซึ่งวิธีการนี้ผมไม่หวงแต่อย่างใดและยืนยันว่าเกิดผลจริงๆครับ สิ่งที่ตั้งใจอีกอย่างคือ จากนี้ต่อไปจะกลั่นกรองเขียนเรื่องราวให้หลากหลายขึ้นโดยไม่จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องราวของหนังหรือภาพยนต์เท่านั้น โดยจะพยายามจับหาเรื่องราวอะไรก็ตามที่คิดว่าน่าสนใจ หรือเรื่องราวที่อยากจะเขียนถึง และจะพยายามถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุด.....
 
.....หลังจากชั่งใจไปมาอยู่เล็กน้อย ว่าจะเขียนเรื่องอะไรดีและเรื่องไหนที่จะเขียนไปจนจบ,ไปจนรอดได้ ท้ายที่สุดชั่งออกมาเป็นเรื่องนี้ครับเรื่องที่ว่าด้วย "ชีวิตที่โชกโชน" ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ผมไม่ได้กำลังจะมาเล่าชีวิตที่โชกโชนของตัวเองหรือของใครๆ เพียงแต่กำลังจะอธิบายจากมุมมองของตัวเองต่อคำว่า "ชีวิตที่โชกโชน"ก็เพียงเท่านั้น โดยมีจุดประสงค์ว่าการมีชีวิตวิตที่โชกโชนเป็นสิ่งที่น่าสนใจ น่ามีไว้ครอบครอง โดยที่ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ได้มี"ชีวิตที่โชกโชน"แต่อย่างใด และก็กำลังพยายามจะมีชีวิตที่โชกโชนเป็นของตัวเองอยู่เช่นกันครับ
 
ขอขยายความสักหน่อยที่ผมออกตัวไว้ว่าชีวิตของตัวเอง"ไม่โชกโชน" เพราะอะไรถึงไม่โชกโชน แล้วที่โชกโชนหล่ะเป็นอย่างไร ใช้สิ่งใดมาวัด มาจำแนก ผมคิดว่าต้องใช้ตัวเองวัดครับ ชีวิตใครชีวิตมัน ทุกคนเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง ดังนั้นทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแต่งตั้งชีวิตตัวเองว่าจะเป็นชีวิตที่โชกโชนหรือไม่ ก็ย่อมได้ อย่าไปสนใจใครครับ และอย่าไปทักไปขวางใครเขาหากเขาจะมีชีวิตที่โชกโชน เพราะความโชกโชนไม่ใช่ทรัพยากรที่ต้องแบ่งบันกัน ความโชกโชนมีเพียงพอให้ทุกคน ต่อให้มนุษย์ทุกผู้ทุกคนบนโลกนี้มีชีวิตที่โชกโชนกันหมด โลกก็ไม่แตกครับ.....
 
  
.....คำถาม : เพราะอะไรถึงอยากมีชีวิตโชกโชน? ผมไม้ได้จะบอกว่าชีวิตทุกวันนี้ของผมไม่ดีนะครับ ผมมีความสุขดีและดีมากอยู่ทีเดียว ชีวิตของผมไม่ได้น่าเบื่อ ความอยากโชกโชนของผมนั้นมีเหตุผล คือคำว่า"โชก" มันเป็นอาการของอะไรที่มากๆ ที่ได้ยินบ่อยก็อย่างเช่น "เปียกโชก" คือมันเป็นอะไรที่มากกว่า"ชุ่ม" ขึ้นไปอีก ชีวิตจะโชกโชนได้มันน่าจะเป็นชีวิตที่ "เยอะ"คือ พบ เจอ ผ่าน มาเยอะ เริ่มฟังดูดีขึ้นมาแล้วใช้ไหมครับ ดันนั้นการอยากจะมีชีวิตโชกโชนของผมคือความอยากจะพบเจออะไรให้เยอะๆ อยากจะผ่านอะไรต่างๆนาๆให้มากเข้าไว้ เป็นความต้องการในด้านบวกนะครับ มิได้อยากจะไปโลดโผนโจนทะยานผ่านเหวผ่านหุบอะไรที่ไหนให้ชีวิตกร้าวเกร็งเผลเป็นเต็มตัวอะไรอย่างนั้นไม่ใช่นะครับ
 

ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยสอนผมไว้ว่า ถ้าเราอยากจะเล่าเรื่องให้ได้มากๆเราต้องมีเรื่องที่จะเล่าให้มากๆ เปรียบกับการทำกับข้าว ถ้าเราอยากจะทำกับข้าวให้ได้หลายๆเมนูเราก็ต้องมีวัตถุดิบในตู้กับข้าวให้เยอะๆ ถ้ามีไม่เยอะถึงแม้ว่าเราจะ"ทำกับข้าว" เก่งแค่ไหน เราก็จะทำกับข้าวแบบ"วนเวียน"อยู่ได้ไม่กี่อย่างจะจำเจซ้ำซาก ผมอยากให้ตู้กับข้าวผมโชกไปด้วยวัตถุดิบต่างๆ จนสามารถทำกับข้าวให้ได้มากๆหลากหลายรสชาติไม่มีจำเจน่าเบื่อ นอกจากนั้นผมยังไม่ได้อยากให้ตู้กับข้าวนี้มีแต่เฉพาะเรื่องราวของตัวเองเท่านั้น เพราะถือว่าการได้รับรู้รับฟัง เรื่องราวของคนอื่นถือเป็นกำไรสำหรับตัวเรา เพราะหนึ่งชีวิตของคนเราไม่ได้ยาวนานพอที่จะประสพพบเจอทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นถ้าใครที่เค้ามีเรื่องราวแบบที่เราไม่คุ้นไม่มี แล้วเค้ายินดีที่จะถ่ายถอดให้ ผมก็จะยินดีเป็นอย่างมากที่จะรับวัตถุดิบที่ไม่ต้องออกไปหาเองนี้เก็บไว้ในตู้ของผมไปด้วย
 

ในอีกแง่หนึ่งการที่ตั้งใจจะทำชีวิตให้โชกโชนนี้ยังเป็นการหนุนให้เราเปิดรับโอกาส เปิดรับอะไรใหม่ๆ รวมถึงอาจจะทำให้เรากล้าจะทำในสิ่งที่เราไม่กล้ามาก่อนอีกด้วย เพราะอย่างที่โบราณท่านว่าไว้ "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทำ" การเก็บเรื่องราวมาจากคนอื่นนั้นมันก็ดี แต่หากมีโอกาสที่เราจะได้สัมผัสเอง ได้รู้สึกเองก็ย่อมทำให้เรื่องราวนั้นถูกเก็บผ่านมุมมองของเราเอง ทำให้มันจริงสำหรับตัวเราเองมากกว่าอย่างแน่นอน และอีกครั้งครับที่ต้องขอบอกว่า กรุณาอย่าได้ตีความการ"เปิดโอกาส" นี้ไปใช้กับอะไรในด้านลบด้านไม่ดีเลยครับ ถึงแม่ว่าการจะวัดหรือตีความว่า สิ่งอันใดดี อันใดไม่ดี อะไรถูกอะไรผิดนั้นจะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และแปรผันไปได้ตามแต่ปัจจัยประกอบต่างๆมากมายก็ตามที เอาเป็นว่าเราถือว่าการอยากมี"ชีวิตที่โชกโชน" ของเราเป็น"ความหวังดี" ต่อชีวิตของตัวเอง หากสิ่งใดโอกาสใดที่จะเข้ามา แล้วเป็นสิ่งที่ขัดกับ"ความหวังดี" ต่อชีวิตตัวเอง เราก็ไม่ต้องไปเปิดให้มัน อย่างนี้ก็แล้วกันครับ.....

 
.....คำถาม : ทำอย่างไรให้มี "ชีวิตที่โชกโชน" สิ่งแรกเลยครับตั้งใจไว้ก่อนเลยว่าเรากำลังจะปั้นชีวิตให้โชกโชน ที่นี้พอเราตั้งใจอย่างนั้นได้แล้วก็จะทำให้เราเปิดเก็บสิ่งต่างๆรอบตัวที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดทุกเวลานาที เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเป็นราวอยู่ในตัวมันเองแทบทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเหตุการณ์พิเศษ เหตุการณ์หวือหวาพจญภัยอะไรทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองมันแบบไหน เก็บมันแบบไหน แม้แต่ตอนที่เราอยู่คนเดียวในที่ที่ไม่มีใครเลยด้วยซำ้ ถ้าเราอยากจะหาเรื่องหาราวมาเก็บไว้ซะอย่างทำไมมันจะไม่มีครับ ก็ถึงมันจะไม่มีใครเลยมันก็มีตัวเราเองอยู่ตั้ง 1 คน ก็หาเรื่องมันกับตัวเราเองนี่แหละมีเรื่องให้หาตั้งเยอะตั้งแยะไป เพราะฉนั้นพึงระลึกไว้เสมอว่า ไม่เคยมีใครคนไหนที่อยู่โดยไม่มี"ใคร" เลยจริงๆ เพราะถ้าเค้ายัง"อยู่" แสดงว่าอย่างน้อยก็มีตัวเค้าเองแล้ว 1 คน เอาไว้ผมจะขยายความถึงเรื่องนี้ในโอกาสอื่นอีกทีแล้วกันครับ มิเช่นนั้นจะเป็นการผิดประเด็นไปซะเปล่าๆ
 
จากย่อหน้าก่อนในเรื่องของการเก็บสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวให้เป็นเรื่องเป็นราวนั้น อาจจะยังฟังดูคลุมเครือไปซักหน่อยว่าจะนำมาใช้จริงอย่างไร วิธีที่ง่ายที่สุดน่าจะเริ่มจากการ"สังเกตและตั้งคำถาม" อธิบายให้ชัดคือ เมื่อเราเริ่มต้นมองและสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัว แน่นอนว่าเราจะเจอกับสิ่งที่เราไม่รู้ พอไม่รู้ก็ลองอยากรู้ดูครับ แล้วเราก็จะได้คำถามออกมา เมื่อได้คำถามแล้วเลือกดูว่าคำถามไหนที่มันน่าสนใจ น่าหาคำตอบ น่ารู้มากๆ ทีนี้แหละครับไอ้ตอนที่เราหาคำตอบนี่แหละไม่ว่าจะเจอหรือไม่เจอ หรือเป็นคำตอบที่ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง แต่ระหว่างที่เราหาคำตอบนี้เอง มันจะมีโอกาสเกิดเป็นเหตุการณ์ที่น่าเก็บน่าจดจำ มาเพิ่มความโชกให้ตู้กับข้าวของเราอย่างแน่นอน เห็นหรือยังครับว่าเราทำชีวิตให้โชกโชนได้ไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตแบบไหน มีกิจวัตรประจำวันอย่างไร อยู่ที่เราว่าจะตั้งใจปั้นชีวิตให้โชกโชนแค่ไหน ไม่จำเป็นที่ต้องเป็นนักพจญภัยอะไรที่ไหนเลย ปุถุชนทุกคนก็ทำได้ อย่าไปสร้างอุปสรรค อย่าไปจำกัดการโชกโชนของตัวเอง มองให้มันง่ายเข้าไว้ยากมากพอดีชีวิตหมดเวลาโชกโชนกันพอดี

 
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว มันย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน ถ้ามีโอกาสจะนำพาตัวเราออกไปหาความโชกโชนจากข้างนอก ข้างนอกบ้าน ข้างนอกชิวิตปกติสามัญของเราบ้าง เพราะว่ามันจะ"สนุก" กว่าครับ จะสนุกกว่าแน่นอน และอย่าได้มุ่งไปเพียงแต่ที่จุดหมาย อย่างสถานที่ที่เราจะไป หรือ กิจกรรมที่เราจะไปทำ เพราะอันที่จริงแล้ว "ระหว่างทาง" นั้นย่อมต้องมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งปัญหา อุปสรรคต่างๆ ทั้งดีทั้งร้าย เหล่านี้คือสิ่งที่ไม่ควรละทิ้งไปทั้งสิ้น ดีไม่ดีแล้วเรื่องราว"ระหว่างทาง"นี้อาจจะมีผลต่อความโชกโชนของเรามากซะกว่าจุดหมายปลายทางซะด้วยซ้ำไป.....
 
.....มีประเด็นหนึ่งที่ผมอยากจะขอกล่าวถึง เรียกให้ชัดแล้ว มันน่าจะเป็น "ข้อคิด" อย่างหนึ่งซึ่งตัวผมเองก็พึ่งรู้สึกและคิดได้เมื่อไม่นานมานี้ว่า อันที่จริงแล้วบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา แล้วเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก อย่างเช่นเราทำอะไรบางอย่างผิดพลาด หรือตกไปอยู่ในเหตุการณ์ที่เราต้องลำบากทุกข์ทน หรืออยู่ในสถานที่ รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่เราไม่ปรารถนา แน่นอนว่าในขณะที่เราเผชิญกับช่วงเวลาแบบนี้เราย่อมต้องรู้สึกไม่ชอบ ไม่ดี ไม่มีความสุขแน่นอน แต่พอเราได้ผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นๆมาได้แล้ว มันจะกลับกลายเป็น "ประสบการณ์" ที่ดีไห้แก่ตัวเรา ชีวิตเรา เป็นเหมือนว่าเราได้เรียนรู้ ได้ผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้ ทำให้เรารู้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น อะไรที่พลาดก็จะไม่พลาดอีก อะไรที่ผิดต่อไปก็ทำให้ถูก อะไรที่ทุกข์ก็ทำให้เวลาสุขก็สุขได้ยิ่งขึ้น ซึ่งก็ขอจำกัดความข้อคิดนี้ว่า "เหตุการณ์ที่เลวมักเป็นประสบการณ์ที่ดี"  มองในแง่ดีอีกอย่าง หากเราคิดไว้อย่างนี้แล้วระหว่างที่เราอยู่ในเหตุการณ์ที่เลวนั้นเราอาจจะรุ้สึกขุกข์น้อยลงได้บ้าง เพราะอย่างน้อยเราก็รู้ว่ามันจะกลายมาเป็นประสบการณ์ที่ดีให้กับเราในภายหลัง มันจะมาเพิ่มความโชกให้กับตู้กับข้าวของเราได้.....



 
.....มาถึงตรงนี้แล้วผมคิดว่าน่าจะทำให้ "การมีชีวิตที่โชกโชน" กลายเป็นสิ่งน่าสนใจขึ้นมาได้บ้างสำหรับท่านที่ได้อ่านบทความนี้ อันที่จริงแล้วแรงบันดาลใจให้ผมเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาจากประโยคที่หลายคนมักพูดว่า "รู้สึกว่าได้ปล่อยเวลาของชีวิตให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์" "มัวแต่ไปเรียน" "มัวแต่ไปทำงานที่นั้นที่นี่" "มัวแต่ไปคบกับคนนั้นคนนี้" "มัวแต่ไปทำแบบนั้นแบบนี้" เปล่าประโยชน์ เสียดายเวลา อย่าเลยครับอย่าไปคิดแบบนั้นเลย เพราะอย่างไรก็ดี เวลาเหล่านั้นมันได้ผ่านไปแล้วเราไม่สามารถจับต้องทำอะไรกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วได้ ในขณะเดียวกันทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเคยเกิดขึ้นมันก็คือเหตุการณ์ เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมีความหมายไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าเรามองมันอย่างไร กลั่นกรองมันอย่างไร เก็บรักษามันไว้อย่างไร ไม่แน่ว่าบางทีเราอาจจะมีชีวิตที่โชกโชนไปแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัวก็เป็นได้ อย่าลืมครับว่า ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา แล้วไม่มีคุณค่าไม่มีความหมาย เพราะยังไงมันก็คือชีวิตเรา อย่างไรแล้วมันย่อมต้องมีความหมายต่อตัวเราเองอย่างแน่นอน.....


Friday, October 28, 2011

IN TIME

……….หลังจากห่างหายไประยะหนึ่งได้ จากการเขียนบทความภาพยนตร์นี้ ก็รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าควรจะเขียนต่อไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เขียนสักที ทั้งๆที่ก็ยังคงเข้าโรงภาพยนตร์อยู่ตลอดอย่างที่เคย ได้แต่ จะ จะ อยู่นั้น แล้วอยู่ๆจังหว่ะนั้นก็มาถึงหลังออกมาจากการชมภาพยนตร์ที่รอคอยเรื่องหนึ่ง เหตุที่ "IN TIME" เป็นภาพยนตร์ที่รอคอยนั้นเป็นเพราะพลังดารา(สาว)ล้วนๆ ตั้งแต่ได้มีโอกาสเห็นตัวอย่างของหนังเรื่องนี้ครั้งแรก ก็พาให้ใจตื้นตันทันที่เมื่อพบว่ามีดารา(สาว)ขวัญใจของผมถึง2คนทีเดียว ที่มาแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ แถมหนึ่งคนในนั้นยังได้ถูกจับเปลี่ยน "ลุค" ให้ดูแปลกตาไปจากเคยอีกด้วย แหมอย่างนี้แล้วจะไม่ให้เป็นภาพยนตร์ที่รอคอยได้อย่างไรกันเล่า มันเป็นเช่นนี้นี่เองที่เค้าเรียกว่า"พลังดารา"


เรื่องราวของหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นในโลกอนาคตข้างหน้า ที่มนุษย์ทุกคนถูกกำหนดให้เจริญเติบโตมาจนถึงอายุ 25 แล้วร่างกายหน้าตาจะคงสภาพอยู่เช่นนั้นตลอดไป ไม่แก่ไปกว่านั้น ในขณะที่หลังจากอายุครบ25แล้วทุกคนจะมีเวลาเหลือให้ใช้ชีวิตต่อไปอีก 1 ปีเท่านั้น โดยทุกคนจะมี"นาฬิกาชีวิต"เรืองแสงสีเขียวๆคอยวิ่งนับถอยหลังอยู่บนแขนของแต่ละคน อย่าพึ่งตกใจไป มันไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องตายเมื่ออายุครบ 26 ปี ในเมื่อเราสามารถโอนถ่ายเวลาให้แก่กันและกันได้ ผ่านการจับมือแบบกลมเกลียว(เป็นการจับแบบไหนต้องขอให้ไปชมกันเอาเองนะครับ) ดังนั้นสิ่งที่ทุกผู้ทุกคนต้องทำคือพยายามแสวงหา "เติม" เวลาให้แก่ชิวิตของตนเองไปเรื่อยๆถ้ายังไม่อยากม่องเท่งเเป็นนาฬิกาถ่านหมดไปเสียก่อน สรุปว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือ"เวลา"นั้นเอง
ในระหว่างที่ดูหนังเรื่องนี้อยู่นั้นแอบคิดไม่ได้ว่า ด้วยโครงเรื่องที่หนังเรื่องนี้มี Mood & Tone ของหนังน่าจะสามารถไปได้"สุด"กว่านี้ จากที่เห็น"ภาพ"ในบางจังหว่ะ(เช่นท่ายืนpost เท่ๆ ของน้องอแมนด้า)แล้วนึกถึงหนังที่มี"style"จัดๆ อย่าง Kick ass หรือ Watch man ขึ้นมาว่าอันที่จริง In time นี้ก็น่าจะไป"สุด"ได้แบบนั้นโดยที่ไม่น่าจะเสียอารมณ์หลักและน่าจะดู"แสบ"ขึ้นอีกไม่น้อยทีเดียว

อีกหนึ่งประเด็นคือเรื่องของอารมณ์ที่ดำเนินไปตามเรื่องราว ซึ่งขึ้นๆลงๆแบบไปไม่สุดอีกเช่นเดียวกัน คือรู้สึกได้ว่าจุดที่น่าจะเป็นจุด"พีค"ก็ไม่ได้นำพาอารมณ์ไปถึงระดับพีค ประเดี๋ยวก็ผ่อนอารมณ์ลงพอจะขึ้นอีกก็ไปไม่สุดแล้วก็ผ่อนลงอีก จนถึงตอนจบของเรื่องแล้วก็ยังไม่รู้สึกชัดเจนว่าตรงช่วงไหนมันคือจุดที่"พีค"สุดของเรื่องกันแน่ ผมไม่ได้หมายความว่าหนังดำเนินเรื่องไปแบบหน้าเบื่อแต่อย่างใดนะครับ นิยามแบบนี้แล้วกัน "ไม่ได้น่าเบื่อแต่ไปไม่สุด"

อีกอย่างที่ติดใจคือวิธีการใช้เวลาของพระเอกที่ดูจะเป็นประเภทสามล้อถูกหวยไปซะหน่อยอีหรอบนี้ต่อให้ไม่ถูกปล้นไปพ่อก็คงหมดตัวในเวลาอันสั้นอยู่ดีหล่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นโดยภาพรวมทั้งหมดแล้วตัวหนังได้ความน่าสนใจของเรื่อง"เวลา"มาช่วยอุ้มชูไว้ได้อย่างมากทีเดียว

ดังที่กล่าวไว้แล้วว่าเรื่องของ"เวลา"ซึ่งเป็นใจความหลักของหนังเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งจึงอยากจะกล่าวถึงมากสักหน่อย คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้เราต่างใช่ชีวิตไปกับการแสวงหาเงินกันทั้งนั้นเพราะเราใช้เงินไปแลกกับ"เกือบ"ทุกสิ่งทุกอย่างจนพูดเปรียบเปรยกันว่าเงินก็คือชีวิต แต่เงินก็ไม่ใช่ว่าจะซื้อทุกอย่างได้ ที่เห็นกันชัดๆคือคนเราเกิดมาทุกคนต้องตายไม่ว่าจะรวยหรือจน ฉนั้นต่อให้มีเงินล้นฟ้าสุดท้ายทุกคนก็เท่าเทียมกันในบทสรุปของชิวิต ปรัชญาหลายอย่างเกี่ยวกับ"เงิน"กับ"ชีวิต"จึงเกิดขึ้นมากมาย แต่ในIn time ปรัชญาทั้งหลายเหล่านั้นต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อคนไม่ได้ใช้เงินที่หมายถึงชีวิตแบบอ้อมๆอีกต่อไป แต่ใช้เวลา เวลาของชีวิต ทีนี้หล่ะเวลามันจึงเป็นทุกอย่างมากกว่าที่เงินเคยเป็น เวลาจึงมีอำนาจที่สมบูรณ์แบบที่สุด ผู้ที่มีอำนาจของเวลาอยู่ในมือจึงเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่าคนอื่นอย่างแท้จริง

แม้ในทีแรกดูเหมือนจะยุติธรรมดีที่ทุกคนมีเวลาเริ่มต้นเท่ากันหมดที่ 1 ปี แต่เมื่อชีวิตของชนชั้นที่ด้อยกว่า ถูกควบคุมแบบเบ็ดเสร็จจากผู้มีเวลามากกว่า มีอำนาจมากกว่า ก็ยิ่งแทบไม่มีวันจะโงหัวขึ้นมาได้ ความเหลือมลำ้ของสังคมก็ยิ่งมีมากขึ้นไปกว่าสังคมที่ใช้"เงิน"เสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อยิ่งรวย(เวลา)ก็ยิ่งอยู่ได้นาน มันก็ยิ่งรวยขึ้น รวยขึ้น คนที่จนก็มีแต่ต้องตายไปเรื่อยๆอยู่อย่างนั้น โดยที่หากลองมองกันจริงๆแล้ว ระบบเช่นนี้ก็เกิดขึ้นกับสังคมที่ใช้"เงิน"ของเราอยู่ทุกวันนี้เช่นกัน ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่หนีไม่พ้นการแก่งแย่งชิงดี และหลงไหลในอำนาจไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด ซึ่งยากที่จะแก้ไข ดั่งที่ในหนังพูดไว้ว่าถึงแม้ว่า "วิล"จะทำลายระบบด้วยการปล้น"เวลา"มหาศาลไปแจกจ่ายให้คนจนๆ แต่เพียงแค่ 1 หรือ 2 ชั่วอายุคนความเหลือมลำ้ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมเพราะ"สันดาน"ที่ไม่เคยเปลี่ยนของมนุษย์เรานั้นเอง

สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชมคือคนเขียนบท(ซึ่งก็คือผู้กำกับนั้นแหละ พี่แกควบ กำกับ เขียนบท โปรดิวซ์เองครบ)ดูจะทำการบ้านกับสังคมที่"ใช้เวลา"มาพอสมควร เพราะรายละเอียดปลีกย่อยหลายอย่างถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างมีเหตุมีผล ดูน่าจะเป็นจริงเช่นนั้นหากมีสังคมเช่นนี้อยู่จริงๆ ยกตัวอย่างเช่น มีแต่คนจนเท่านั้นที่จะวิ่งหรือทำอะไรเร็วๆ เพราะคนที่รำ่รวยเวลาจะรีบไปเพื่ออะไร ในขณะที่คนจนต้องแข่งกับเวลาแทบทุกวินาทีที่นับถอยหลังไปเรื่อยๆ หรือตำรวจที่จะไม่พกเวลาติดตัวมากเพราะจะล่อใจให้โดนปล้นเวลาได้ หรือแม้แต่"ซิลเวีย"ที่มีเวลาเหลือเฟือมากจนไม่รู้สึกถึงความหมายของชีวิต ลักษณะเหล่านี้ล้วนช่วยเสริมความ"น่าเชื่อ" ให้กับสังคมที่"ใช้เวลา"ได้เป็นอย่างดี (มีตอนหนึ่งจากในหนังที่สะกิดใจผมคือ ตอนที่ซิลเวียบอกว่าชั้นไม่เคยต้องมีเวลาเหลือน้อยแบบนี้มาก่อน ชั้นไม่รู้จะต้องทำยังไง แล้ววิลได้ตอบว่า "ก็ไม่ยากหรอก แค่ต้องตื่นนอนให้มันเช้าๆหน่อยก็เท่านั้นแหละ" แหมมันจี๊ด)

สุดท้ายนี้หนังเรื่องนี้ทำให้คิดถึงแนวคิดหนึ่งขึ้นมาคือ ในสังคมที่"ใช้เงิน"ของเรานี้ทุกคนรู้ดีว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่าจึงไม่ควรใช้ชีวิตโดยที่ปล่อยเวลาให้ศูนย์เปล่า แต่สำหรับผู้คนที่ต้องดิ้นรนหาเวลามาเติมต่อชีวิตของตัวเองในหนังเรื่องนี้ ดูไม่น่าจะเป็นการใช้ชีวิตที่เรียกว่า"ไม่ปล่อยเวลาให้ศูนย์เปล่า"ได้ เพราะหากลองคิดดูแล้วก็เหมือนทุกวันใช้ชีวิตเพื่อให้มีเวลาในวันพรุ่งนี้ แล้ววันพรุ่งนี้ก็ใช้ชีวิตเพื่อให้มีเวลาในวันต่อไป แล้วก็ต่อไป ต่อไป แช่นนี้เรื่อยๆจนกว่าจะมีวันใดที่เกิดเหตุการณ์อะไรซักอย่างขึ้นแล้วก็ตายไป (เช่นจู่ๆรถเมล์ขึ้นราคา) ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาใช้ชีวิตให้สมกับที่เป็นชีวิตแต่อย่างใด

หันกลับมามองที่ตัวเราเองในทุกวันนี้ เราต่างก็ดิ้นรนหาเงินเพื่อมีชีวิตต่อไปเช่นกันแต่สิ่งที่ต่างกันคือ เราจะไม่ตาย(ทันที)หากเราหยุดหาเงิน กระนั้นแล้วในบางจังหวะเวลาก็อย่าใด้ลืม"ใช้ชีวิต"ใช้สมกับที่เป็นชีวิตกันเถิด ส่วนจะใช้อย่างไรนั้นก็สุดแท้แต่ แนวทางใครแนวทางมัน.....

Sunday, July 17, 2011

บทความ : นั่งร้านกาแฟ

..........ด้วยผลต่อเนื่องมาจากการที่ตัดสินใจระเห็ดตัวเองออกมาจากชีวิตแบบ "คนมีงานประจำทำ" เมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมว่าจะได้มีวันเวลาแบบชีวิตเลือกได้ลิขิตเองบ้าง แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับเป็นว่า ได้มีชีวิตแบบต้องสรรหาอะไรมาทำไปในแต่ละวันมาระยะหนึ่งแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเพราะลมฟ้าหน้าฝน หรือเพราะอยู่ระหว่างฤดูการเลือกตั้งที่มีผลต่อทิศทางโดยรวมของสังคม จริงๆอย่างที่พยายามคิดปลอบใจตัวเองหรือเปล่า แต่ก็ยอมรับครับ ว่าทำเอาจิตใจพะว้าพะวงอยู่ไม่ค่อยเป็นสุขเท่าไรนัก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นทุกข์โศกอะไรมากมาย ก็คิดหวังว่ามันจะต้องดีขึ้น และช่วงเวลาที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้จะกลายเป็นช่วงชีวิตช่วงสำคัญหนึ่งที่เคยเกิดขึ้น เป็นช่วงชีวิตติดแหง็กที่จะประทับไปอยู่ในความทรงจำ หลอมรวมไปกับเรื่องราวอื่นๆที่สะสมมาและที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกต่อๆไป

ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เอง ทำให้ผมมีรูปแบบการใช้ชีวิต อันอภิรมย์ รูปแบบใหม่เกิดขึ้น นั่นคือการไปนั่งอยู่ที่ร้าน "กาแฟ" โดยการนั่งแบบที่ว่านี้ ที่มันใหม่(สำหรับผม)เพราะว่า ไม่ใช่ว่าไปนั่งเพื่อดื่มกาแฟหรือไปรอใครอะไรเทือกนั้น เพราะไอ้อย่างนั้นผมก็เคยทำมาก่อนอยู่บ่อยๆ แต่การนั่งอย่างที่ว่าคือการไปนั่งอยู่นานๆ นั่งอยู่หลายชั่วโมง หรือบางครั้งบางคราวล่วงไปถึงครึ่งค่อนวันก็มี ด้วยจุดประสงค์ที่ว่าง่ายๆคือ ใช่ต่างห้องทำงาน หรือ ต่างห้องนั่งเล่น ขึ้นอยู่กับว่าในครั้งนั้นนั่งแล้วได้อะไรกลับมา ถ้าได้งานก็เป็นห้องทำงาน ถ้าได้อ่านหนังสือจบ(หรือไม่จบ)ก็เป็นห้องนั่งเล่นไป มาถึงตรงนี้หลายคนอาจด่าเอาว่า เชยจริง เพราะผู้คนเค้าทำเค้าปฏิบัติกันมานานนมแล้ว ถูกแล้วครับ ผมเองก็ประสบพบเห็นมานานแล้วว่าตามร้านกาแฟแอร์เย็นๆที่นั่งสบายๆเหล่านี้ มักจะมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลทั้งวัยรุ่น วัยรุ่ง วัยโรง ทั้งนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน คนว่างงาน(อย่างผม) มานั่งจับจอง"ฝังราก"กันเป็นที่ชินตา ทั้งยังเคยนึกด่ากับตัวเองด้วยซำ้เวลาจะเข้าไปนั่งเพื่อดื่มกาแฟแล้วไม่มีที่นั่ง ว่าไอ้คนพวกนี้มันจะมานั่งสิงอะไรกันเป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าพูดถึงพริกเราฟังคนเค้าเล่าเค้าบอกว่ามันเผ็ดอย่างนั้นอย่างนี้ ตราบใดที่ไม่ยัดเข้าปากเคี้ยวเอาเองมันไม่รู้ซึ้งถึงรสชาติหรอกครับ เช่นเดียวกันครับ ระหว่างที่ผมนั่ง"ฝังราก"เขียนบทความนี้อยู่ ก็อาจจะมีซักคนในหลายคนที่ผ่านมาผ่านไปกำลังนึกด่าผมอยู่ในทำนองเดียวกันนี้ก็เป็นได้


ก่อนหน้าที่ผมจะเริ่มนิยมกิจกรรมที่ว่านี้ได้ไม่นาน วันหนึ่งผมได้ไปเจอะเจอกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่ห้างเซ็นทรัลสาขาปิ่นเกล้าโดยบังเอิญ ไปเจอมันนั่งอ่านหนังสือเรียน(ปริญาโท)อยู่ที่ร้านกาแฟร้านหนึ่ง ก็เข้าไปทักไปคุยตามประสา วันนั้นผมประหลาดใจมากเมื่อมันบอกเหตุผลที่มานั่งอยู่ที่นั้นว่า มาเพื่ออ่านหนังสือเรียนโดยเฉพาะไม่ได้จะมาช้อปปิ้ง จับจ่าย ดูหนัง ดูหญิงอะไร(อันนี้ก็อาจเป็นผลพลอยได้ประการหนึ่ง) "มึงมานั่งอ่านหนังสือที่ร้านกาฟเนี่ยนะ ทำไมไม่อ่านที่บ้านวะ ที่นี่มันจะไปมีสมาธิอะไรที่ไหนมาอ่านหนังสือ" มันก็บอกว่าอ่านอยู่บ้านมันง่วง มาอ่านนอกบ้านดีกว่า มันก็เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นพอตัวอยู่ แต่ผมก็ยังคงติดใจสงสัยอยู่ดีในวันนั้น มาปัจจุบันนี้ผมรู้แจ้งกระจ่างแล้วครับ ทุกวันนี้ที่ผมพยายามฝึกฝนเขียนนั่นแต่งนี่อยู่นี้ ส่วนใหญ่จะเกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นที่ "ร้านกาแฟ" มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว แม้ว่าจะต้องกลับไปแต่งไปเติมหรือแก้ไขที่บ้านทุกเรื่อง แต่อย่างน้อยก็ต้องไปเริ่มเขียนที่"ร้านกาแฟ" มันถึงจะเขียนออก และดูจะลื่นไหลกว่าเขียนที่บ้าน หลายคนคงเถียงว่าเป็นเรื่องของสมาธิ หรือหนักหน่อยก็คงว่าผิดที่สันดอนสันดานอะไรของผมเอง ก็ไม่ได้ว่าไม่ได้น้อยใจอะไรครับ แต่สำหรับผมมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ประเด็นหนึ่งที่ว่า ที่บ้านนั้นมันมีสิ่งเร้าเยอะ ไหนจะโทรทัศน์ เกมส์ หนังสือการ์ตูน หมอน เตียง มันก็ถูก แต่ผมเองก็ไม่ใช่คนสมาธิสั้นอะไรขนาดนั้น จะว่าไปถ้าเริ่มจับเริ่มทำอะไรแล้วก็ไม่ค่อยจะไหลเทไปทำอย่างอื่นกลางคันเท่าไหร่นัก แต่ไอ้ตอน"เริ่มต้น" เนี่ยแหละครับที่มันต้องอาศัยอารมณ์ อาศัยแรงบันดาลใจกันเข้มข้นหน่อย ซึ่งผมค้นพบว่ามันจะไปเข้มข้นที่ "ร้านกาแฟ"ครับ ที่บ้านมันจะเจือจาง ไม่ใช่ไม่มีนะครับ แต่มันเจือจาง

..........ไหนๆก็คิดจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาเขียนแล้ว ผมจึงต้องคิดสำรวจค้นหาเหตุผลมารองรับซักหน่อยว่าน่าจะเป็นเพราะเหตุใด ทำให้ผม(หรืออีกหลายคน) นิยมพฤติกรรมเช่นนี้ แน่นอนว่าประการแรกน่าจะมาพร้อมกับแทคโนโลยีในปัจจุบันที่พัฒนาขึ้น การติดต่อสื่อสารที่สะดวกสบายและรวดเร็ว ระบบไร้สายทำให้เราสามารถจะรับ-ส่งสารหรืออะไรก็ตามแต่ ได้(เกือบ)ทุกที่ทุกเวลาไม่จำเป็นต้องนั่งติดอยู่กับโต๊ะทำงานอีกต่อไป ไม่ต้องคอยรับแฟกซ์หรือจดหมาย คนเราทุกวันนี้จึงค่อนข้างมีอิสระที่จะอุปโลกน์สถานที่ใดๆก็ตามที่รักที่ชอบ ให้เป็นออฟฟิตเคลื่อนที่ของตัวเองได้ อีกทั้งอุปกรณ์ในการทำงานของคนเราทุกวันนี้ เรียกได้ว่าแค่คอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊คเครื่องเดียว ก็เพียงพอที่จะทำได้ร้อยแปดพันประการ นอกจากนี้ตัว"ร้านกาแฟ"เอง ก็อำนวยปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เอื้อต่อการเป็น"ที่ทำงาน"อย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ปลั๊กไฟ อินเตอร์เน็ท และที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ โต็ะเก้าอี้ ที่มีลักษณะเป็นโต๊ะทำงาน มากกว่าที่จะเป็นโต๊ะอาหารหรือโต๊ะกาแฟ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเพียบพร้อมในส่วนของ "สถานที่และอุปกรณ์"เป็นส่วนที่จับต้องได้ สำหรับในส่วนที่จับต้องไม่ได้อย่างอารมณ์ความรู้สึกนั้น ต้องเริ่มพิจารณากันจากคำว่า "ทำงาน" กันก่อน ผมคิดว่าคำที่ตรงกันข้ามกับคำว่าทำงานน่าจะเป็นคำว่า "พักผ่อน" ในการทำงานเราจะต้องใช้ศักยภาพของตัวเอง สุดแล้วแต่ใครจะมีมากมีน้อย รีดเค้นมันออกมาปฏิบัติกันไปตามแต่หน้าที่ความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งมักตามมาด้วยความเหนื่อยล้า,เคร่งเครียจ หรือกดดัน นี่คือบรรยากาศในการทำงาน และแน่นอนว่า "ที่ทำงาน" เป็นที่ๆมีคนทำงานหลายคนมารวมตัวอยู่ด้วยกัน ดังนั้นจึงอุดมไปด้วยบรรยากาศของการทำงาน จะเรียกว่าเป็นมนขลังของที่ทำงานก็ไม่ผิดนัก นี่คือ"ที่ทำงาน" ส่วน "ร้านกาแฟ" หลากหลายชีวิตที่แวะเวียนมาที่ร้านกาแฟ บ้างมาคื่มกาแฟ บ้างมาฆ่าเวลารอคอยใครบางคน บ้างพบปะสนทนากัน บ้างมาอ่านหนังสือหนังหา หนังสือพิมพ์กันไป และบ้างก็มาทำงาน เห็นไหมครับว่ามันมีบรรยากาศหลายอย่างหลายจำพวกอยู่ในร้านกาแฟ โดยเฉพาะมีบรรยากาศของการ"พักผ่อน"ร่วมอยู่ด้วย แถมยังมีเครื่องดื่ม(แพงหน่อยก็ถือซะว่า มีได้มา ก็มีให้ไปบ้างก็แล้วกัน) และ มีคนคอยบริการเราอีกต่างหาก ในขณะเดียวกัน ระดับความอลหม่านสับสนในร้านกาแฟก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก ไม่ถึงขั้นจะเสียสติเสียสมาธิไปทีเดียวพร้อมกันอะไรเช่นนั้น มีอื้ออึงนิด เอิงเอยหน่อย พอประมาณ เรียกว่าเป็นเสมือนจุดพบกันครึ่งทางระหว่างการทำงานและการพักผ่อนก็ว่าได้


การไป "นั่งร้านกาแฟ" ของผมก็จะประกอบไปด้วยแบบแผนเล็กน้อย นอกเหนือจากพวก คอมพิวเตอร์,ที่ชาร์จ,กระดาษดินสออะไรพวกนี้ สิ่งจำเป็นที่จะนำไปทุกครั้งก็คือ หูฟัง และ เสื้อกันหนาว โดยหูฟังของผมจะเป็นแบบเอายัดเข้าไปในหู(in ear) ซึ่งมีคุณสมบัติในการขจัดเสียงรบกวนภายนอกได้ชะงักนัก ส่วนเสื้อกันหนาวก็แน่นอนว่าเอาไปใส่กันหนาว อุปสรรคอย่างแรกของการ"นั่งร้านกาแฟ"ที่ผมได้ค้นพบคือ เมื่อเวลาที่เรานั่งไปนานๆมันมักจะหนาวขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเสื้อกันหนาวจะช่วยเพิ่มความอึดให้เราสามารถนั่งได้นานขึ้น และความหนาวนี้เองมีส่วนนำพาไปสู่อุปสรรคอย่างที่สอง นั้นคือ การปวดปัสสาวะ อุปสรรคประการนี้นับว่าอันตรายมากเพราะปวดแล้วมันจะลุกลี้ลุกลน หัวสมองมันจะตื้้อ ตีบ ตัน มันจะคิดไม่ออกเขียนไม่ได้ และด้วยความที่ร้านกาแฟที่ยู่ในห้างส่วนใหญ่จะไม่มีห้องน้ำในตัวจึงต้องไปเข้าห้องน้ำของทางห้างทำให้เกิดปัญหาว่า ทิ้งของไว้ก็กลัวจะหายจะเก็บของไปด้วยก็กลายเป็นลุกเสียม้าไป เมื่อเข้าห้องน้ำเสร็จจะกลับมานั่งใหม่ก็อาจต้องซื้อตั๋ว(กาแฟ)เข้าไปนั่งใหม่ ซึ่งอย่างที่บอกราคาค่างวดก็ไม่ใช่น้อย รังจะฝืนนั่งต่อไปก็ทรมานงานออกมาก็ไม่ดี สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนกลับไปเขียนต่อที่บ้านด้วยอุปสรรคประการนี้บ่อยครั้งไป (ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าคุณไม่ได้ไปคนเดียว แต่อาจเกิดกรณีใหม่ขึ้นมาเช่น คนที่ไปด้วยเบื่ออยากกลับบ้านอะไรทำนองนั้น) เท่าที่ทำได้ตอนนี้ก็แค่พยายามไม่ทานนำ้มากทั้งก่อนและระหว่างที่นั่งอยู่ที่ร้านกาแฟ ก็ช่วยได้ระดับหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะฉนั้น ผมเปิดรับความคิด,ไอเดียอะไรเหมาะๆดีๆเกี่ยวกับการแก้ปัญหานี้นะครับ ใครมีกลเม็ดเด็ดพรายอย่างไร รบกวนช่วยสงเคราะห์จะถือเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ

..........ทุกวันนี้ผมติดใจการไป"นั่งร้านกาแฟ"นี้อยู่พอสมควรทีเดียวครับ ในหนึ่งสัดาห์จะต้องไปนั่งซักวันสองวันเป็นปกติ ซึ่งกิจกรรมนี้อาจจะไปขัดกับวิกฤตการเงินการคลังที่กำลังประสบอยู่บ้าง แต่ก็ยังตัดไม่ได้ครับยังต้องคงไว้อยู่ ประการหนึ่งเกี่ยวข้องกับการที่หมั่นเขียนบทความเกี่ยวกับภาพยนตร์อยู่ทุกวันนี้ ด้วยความที่เป็นคนขี้ลืมพอประมาณ ดังนั้นหลังจากชมภาพยนตร์จบออกมาจากโรง จึงต้องรีบหาร้านกาแฟนั่งเพื่อจะได้อาศัยความสดใหม่ที่พึ่งได้รับมาหมาดๆจากภาพยนตร์ ช่วยทำให้เขียนได้คล่องขึ้นก่อนที่บางอย่างบางตอนจะถูกหลงลืมไป ก็เกิดเป็นสุทรียะส่วนตัวในร้านกาแฟขึ้นด้วยประการนี้ ผมเชื่อมั่นว่ารูปแบบการ"นั่งร้านกาแฟ"นี้ไม่ได้มีผมคนเดียวครับที่นิยมต้องมีอีกหลายคนแน่ๆที่เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณของผม


ไม่นานมานี้ครับ ผมได้ไปพบปะกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมอีกคนหนึ่งในงานฉลอง100ปีตึกยาว(เป็นงานของโรงเรียนเก่าผมเอง) ก็ได้พูดคุยถามไถ่กันไปตามเรื่องตามราว ผมก็ได้เล่าเรื่องการ"นั่งร้านกาแฟ"นี้ ให้เพื่อนฟัง เช่นเดียวกันเลยครับ เพื่อนงงผมเหมือนกับที่ผมเคยงงเพื่อน(อีกคน) มันบอก "มึงมีบ้าน ทำไมมึงไม่นั่งทำที่บ้านวะ" ผมยังนึกขำในใจ สักวันหนึ่งเถอะ สักวันหนึ่งอาจเป็นทีของมัน แล้วมันจะเข้าใจบ้างเหมือนผม.....

Thursday, June 30, 2011

TRANSFORMERS : DARK OF THE MOON



..........เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าหลังจาก Transformers2 ออกฉาย ถึงแม้ว่าตัวหนังจะทำรายได้ถล่มทลายตามความคาดหวังของสตูดิโอผู้สร้างอย่าง พาราเมาท์ แต่นั้นก็ไม่ใช่อย่างเดียวที่ถล่มใส่พวกเขา เพราะทั้งคนดูและแน่นอน เหล่านักวิจารณ์ทั้งหลาย ก็พากัน "ถ่ม" คำวิจารณ์ในทางลบออกมาอย่างหนักหน่วง (นักวิจารณ์ท่านหนึ่งถึงกับบอกว่า "สู้คุณปล่อยลูกๆเข้าไปในครัว เปิดเพลงให้ดังๆจากนั้นบอกให้เด็กๆกระหนำ่ตีหม้อตีไห แล้วหลับตาจินตนาการเอา ยังจะดีกว่าไปดูหนังอีก) ยังไม่พอแค่นั้น หนังยังถูกยัดเยียดทั้งรางวัลหนังยอดแย่ บทภาพยนตร์ยอดแย่ และผู้กำกับยอดแย่ ให้อีกต่างหาก ไหนจะข่าวคราวปัญหาไม่ลงรอยกันระหว่างแม่สาว(ที่ผมยืนยันว่าไม่ใช่เพราะเธอหรอกนะ ผมถึงไปดูหนังเรื่องนั้น จริงๆ) อย่างเมเกน ฟอกซ์ กับ ผกก. ไมเคิล เบย์ ถึงขั้นลั่นวาจาไม่ขอร่วมงานกันอีกต่อไป สิริรวมแล้วก็เรียกได้ว่าเจ็บหนักแทบไม่ได้เกิดกันเลยทีเดียว แต่!! จากไอ้สิ่งแรกที่ถล่มใส่พวกเขาตามที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้นก็ไม่ใช่น้อยแพราะฉะนั้น "ไฟท์ล้างตาของ" ไมเคิล เบย์ นี้จึงเกิดขึ้นมาได้ไม่ยาก


..........โบราณท่านว่า คนดีย่อมแก้ไข(ที่เหลือละไว้นะครับ) และแน่นอนว่าจากที่ทำคะแนนตกไปเยอะมาก เฮีย ไมเคิล เบย์ แกก็ไม่ได้ทำเนียนๆ ไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็เข็นภาค 3 ออกมาเฉยๆ แต่ได้ออกมายอมรับว่าหนังภาค 2 มันห่วยจริงอย่างที่โดนสับ ซึ่งก็ไม่บ่อยนักที่ไม้เบื่อไม้เมากับพวกนักวิจารณ์อย่างเบย์จะยอมจำนน โดยเขาได้ชี้แจงว่า หลังจากภาคแรกประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้ถูกเร่งให้ทำภาคต่อออกมาเร็วเกินไป ประจวบกับในตอนนั้นเกิดเหตุการณ์ประท้วงหยุดงานของสมาคมคนเขียนบทขึ่้นอีก กว่าการประท้วงจะจบลง เลยมีเวลาสำหรับการเขียนและพัฒนาบทแค่เพียง 3 เดือนเท่านั้น ทำให้มีปัญหาออกอ่าว ออกทะเล(ทราย) อย่างที่เห็น ดังนั้นในภาค 3 นี้ เบย์ จึงให้ความสำคัญ ดูแลประคบประหงม ทำงานร่วมกับคนเขียนบทอย่างใกล้ชิด และยืนยันว่าจะไม่ยอมให้สิ่งที่ไม่เข้าท่าเข้าทางปรากฏในหนังอีกเด็ดขาด (อย่างเจ้าหุ่นพูดมากน่ารำคาญ2ตัวนั่น) และหนังจะต้องไม่มีทรายอีกต่อไป พร้อมกับพยายามจะนำสิ่ง(อารมณ์) ที่หายไปจากภาคแรกกลับคืนมา

อีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากกล่าวถึงก่อนที่จะเข้าเรื่องของตัวหนังคือ ระบบ 3 มิติครับ ไมเคิล เบย์ เป็นหนึ่งในผกก. หลายคนที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่หันหน้าเข้าสู่ระบบ 3 มิติเพราะความใหญ่เทอะทะของกล้อง 3 มิตินั้น ขัดกับสไตล์การทำงานของเขา แต่จนแล้วจนรอด จากการโน้มน้าวของเจ้าพ่อ 3 มิติอย่าง เจมส์ คาเมรอน ในที่สุดเบย์ก็ยอมทำหนังภาคนี้ออกมาในรูปแบบ 3 มิติ แถมยังถ่ายทำโดยใช้กล้อง 3 มิติจริงๆ ไม่ได้มาทำการคอนเวิร์ดที่หลังอีกต่างหาก โดยเบย์กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า คาเมรอนบอกกับเขาว่า ระบบ 3 มิติมันเป็นอะไรที่เหมาะกับเบย์มาก และปัญหาต่างๆมันได้ถูกแก้ไขไปหมดแล้ว บัดนี้มันเป็นเหมือนของเล่นใหม่ของเราที่มีอะไรให้ลองอีกมาก และเบย์ก็เห็นว่า เจมส์มีเครื่องไม้เครื่องมือรวมถึงบุคลากรที่พร้อมอยู่แล้ว เขาถึงได้ตกลงใจก้าวเข้าสู่โลก 3 มิติ แถมยัง "ออกตัวแรง" บอกกับพวกเราอีกว่า "เพราะเขาจงใจถ่ายเพื่อให้ออกมาเป็นหนัง 3 มิติ ดังนั้นควรไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้แบบ 3 มิติไม่ใช่ 2 มิติ" แหมเฮียก็ กลืนน้ำลายตัวเองซะอึกใหญ่เชียว ระวังสำลักเอาจะหาว่าไม่เตือน (ข้อมูลบางส่วนจากนิตยสาร FILMAX ประจำเดือน มิถุนายน)


..........ในภาค Dark of the moon นี้ เรื่องราวได้ถูกโยงไปผูกเอาตั้งแต่ตอนที่ นีล อาร์มสตรอง ลงเหยียบดวงจันทร์นู้นเลยทีเดียว โดยที่เล่าว่า อันที่จริงแล้ว ที่ยานอพอลโล่ 11 ถูกส่งไปยังดวงจันทร์นั้น มีภารกิจเบื้องหลังอีกอย่างคือ การสำรวจบริเวณด้านหลังของดวงจันทร์ ซึ่งถูกตรวจพบตั้งแต่ก่อนอพอลโลจะพร้อมเดินทาง ว่ามีวัตถุขนาดใหญ่บางอย่างตกลงมาในบริเวณนั้น โดยหารู้ไม่ว่า ทั้งหมดเป็นแผนการของดีเซปติคอน ซึ่งได้วางเอาไว้นานแล้ว นำพาให้หายนะใหญ่หลวงมาสู่โลก ซึ่งในส่วนของหายนะนี้ ก็เป็นที่ประหลาดใจของผมอย่างหนึ่ง เพราะไม่คิดว่าจะทำให้ออกมา "วายป่วง" ขนาดนี้ ประหนึ่งเป็นหนัง "Disaster" เลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ ก็นับว่าตัวหนังสามารถพาเราไปสู่ความรู้สึกหดหู่สิ้นหวังได้ไม่เลว โดยได้กำหนดให้มนุษย์ตัดสินใจเนรเทศเหล่าออโตบอตทั้งหมดออกไปจากโลก และเผชิญกับการรุกรานของกองทัพดีเซปติคอน (แบบเต็มอัตรา) ที่กำลังทำลายตึกรามบ้านเมือง ไล่ยิงคนซะกลายเป็นผุยผง และถึงแม้จะรู้ๆกันอยู่ว่า ยังไงออโตบอตก็ต้องกลับมาช่วยอยู่ดี

หนังก็ยังได้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เองก็ไม่ได้รอคอยความช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว สังเกตได้ว่าสิ่งที่หนังภาคนี้นำกลับมาคือมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ เรื่องราวของมนุษย์ การต่อสู้กับอุปสรรคของมนุษย์ ทำให้ผมนึกถึงอารมณ์ของหนังอย่าง ID4 ขึ้นมา อารมณ์ที่มนุษย์มาถึงคราวเคราะห์ แล้วทุกคนร่วมมือกันด้วยกำลังใจที่แสนจะหึกเหิมเพื่อช่วยกันปกป้องโลกเอาไว้ (ซึ่งส่วนตัวผมนิยมอารมณ์แบบนี้อยู่พอสมควร) ในภาคนี้มนุษย์แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะสู้กับหุ่นยนต์ แถมไม่ใช่ความพยายามโง่ๆ แบบที่ดูแล้วไม่เห็นว่าจะสู้ได้ตรงไหน เพราะหน่วยของเลนนอกซ์ดูเป็น "มืออาชีพ" ไม่น้อย อีกอย่างต้องยอมรับว่าฉากที่เหินฟ้าไปตามตึกนั้นมันดู "เจ๋ง" จริงๆ และจากที่ผ่านๆมา ยังไม่เคยเห็นมนุษย์ล้มหุ่นยนต์ได้ซักตัว ภาคนี้ก็ได้เห็นในที่สุด จากความร่วมมือกันและวิธีการที่ถูกคิดมาแล้วเป็นอย่างดี ในขณะเดียวกัน ทีม "รวมเพื่อน" ของแอปป์ (บวกกันลูกน้องผิวดำของเลนนอกซ์อีกคน) ก็เหมือนเป็นตัวแทนที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ที่จะต่อสู้กับภยันตราย

และที่สำคัญ ตัวละครของแซมเองก็ถูกวางปมที่น่าสนใจไว้ให้ คือ แม้ว่าแซมจะช่วยกู้โลกมาถึง 2 ครั้ง 2 ครา แต่ในปัจจุบันกลับไม่ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเท่าไหร่นัก ถูกกันออกจากเรื่องของพวกหุ่นยนต์ ให้เป็นเหมือนประชาชนธรรมดาแถมยังคงไม่มีงานทำ และหลายที่ที่ไปสัมภาษณ์ก็ไม่เห็นคุณค่าของเขา หรือแม้แต่เหรีญกล้าหาญซึ่งโอบาม่า!! มอบให้กับมือ สุดท้ายได้งานก็เป็นแค่คนเดินเอกสารภายในบริษัท ในขณะที่แฟนสาว (คนใหม่) ได้ทำงานกับเจ้านายรูปหล่อพ่อรวยใจกว้าง แถมมีท่าที "หมาหยอกไก่" กับแฟนของของเขาอีกต่างหาก ความกดดันของเขาค่อยๆ พอกพูนขึ้นมา จนในที่สุดก็ระเบิดออกมาแบบสติแตกสุดๆ ตอนที่เขาพยายามจะเข้าไปพบพวกออโตบอตในฐานทัพลับ แล้วทหารที่คุมบริเวณทางเข้าได้ปฏิบัติต่อเค้าแบบ "คนนอก" และขัดขวางไม่ให้เขาเข้าไป ในฉากนี้ทำให้มีความรู้สึกแบบ คนดี (ฮีโร่) ที่สังคมเมินขึ้นมา แต่แซมเองก็ไม่ได้ "งอน" หันหลังให้สังคมแต่อย่างใด ด้วยยังมีคนรักที่เข้าใจและพวกพ้องที่ยึดเหนี่ยวได้อยู่ ทำให้เขาไม่ท้อถอยที่จะสู้กับอุปสรรคที่กำลังเผชิญ

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือความเป็นมนุษย์ ซึ่งถึงแม้ว่า Transformers จะเป็นหนัง"หุ่นยนต์" แต่คนดูคือคน เรื่องของหุ่นยนต์จะเข้าถึงคนมากกว่าเรื่องของมนุษย์ได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น ในทางกลับกัน"หุ่นยนต์"ของหนังเรื่องนี้ เป็นจุดแข็งในตัวของมันเองอยู่แล้ว เป็นเหมือนอาวุธที่ทำให้ Transformers เหนือกว่าภาพยนตร์แอคชั่นเรื่องอื่นๆ ดังนั้นการใส่ใจไปที่เรื่องของมนุษย์ จึงน่าจะเป็นการแก้เกมส์ที่มาถูกทางของ ไมเคิล เบย์ และคนเขียนบทของเขา



..........ที่ผ่านมาหนังประเภทโลกถูกจู่โจมซะเละเทะยับเยินนั้น มีออกมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ต้องยอมรับว่าเมื่อมาอยู่ในมือของ ไมเคิล เบย์ มันช่างออกมา "ถึงเครื่อง" แซงหน้าเรื่องอื่นอย่างเห็นได้ชัด ฉากแอคชั่นทั้งหลายทำออกมาสุดมันส์ และสวยงามไปในขณะเดียวกัน ยิ่งเมื่อเบย์มาจับอาวุธใหม่ อย่าง 3D ด้วยแล้วยิ่งเหมือนยอดขุนศึกได้ม้าดียังไงยังงั้น (ผมตัดสินใจดู 3D เพราะเห็นว่ามันแพงขึ้นมาอีก 40 บาท พอสู้ไหวเลยขอลองของซักหน่อย) แต่ก็ยังไม่ได้สมบูรณ์แบบไปซะทั้งหมด สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่ามันเยอะไปนิด คือภาพระยะใกล้กล้อง ถ้าพูดกันแล้วในเบื้องต้น อาวุธของ 3D ก็คือความลึก ซึ่งปกติของการถ่ายหนัง(ส่วนใหญ่) ความลึกหรือระยะ จะถูกรักษาไว้เพื่อไม่ให้ภาพออกมาดูแบนอยู่แล้ว โดยวิธีการให้มีวัตถุในระยะใกล้กล้อง(จะเบลอๆเป็นส่วนใหญ่) เป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมใช้กัน แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเพราะมันเป็น 3D หรือเปล่าทำให้รู้สึกว่ามันมีบ่อยไปหน่อย (เรื่องแรกที่ผมดูแบบ 3D คือ Avatar ตอนนั้นรู้สึกจะไม่เยอะเท่านี้ เหมือนว่าจะไปลึกทางด้านหลังเสียมากกว่า) หรืออันที่จริงแล้ว อาจเป็นเพราะสายตาต้องคอยมาอ่านคำบรรยายทางด้านล่าง ซึ่งลอยออกมาอยู่ในระดับใกล้ด้วยเหมือนกัน เลยทำให้ไปรู้สึกถึงภาพระยะใกล้กล้องบ่อยเกินไปก็เป็นได้ ในด้านของข้อดี ภาพยนตร์ 3D หลายๆเรื่องมักจะมีฉากที่ "จงใจ" ให้มันทะลุจออยู่บ่อยๆ กรณีที่ง่อยที่สุดคือ ตัวละครสักตัวมองกล้องแล้วปาอะไรสักอย่างเข้ามาหากล้อง อะไรทำนองนั้น ซึ้งผมคิดว่าปัจจุบันนี้ 3D มันน่าจะเลยจุดที่จะมาโชว์อะไรกันโต้งๆแบบนั้นมาแล้ว แต่ความรู้สึกเหมือนว่า นั่งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศในหนังจริงๆน่าจะเข้าท่ามากกว่า ซึ่งผมรู้สึกถึงบรรยากาศนั้นได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ของเบย์ สิ่งที่เขาทำไม่ใช้การโยนอะไรสักอย่างใส่กล้อง แต่เป็นการเอาบรรยากาศบางอย่างออกมาจากภาพแบบเนียนๆ เบาๆ เช่นเศษเล็กเศษน้อยจากการระเบิดหรือประกายไฟ แสงแฟร์ของแดด ไปจนถึงกระดาษที่ปลิวว่อน (ซึ่งใช้หลายครั้งจนไม่แปลกใจที่มีดับเบิ้ล A เป็นสปอนเซอร์) ของชิ้นเล็กๆเหล่านี้พอมันดูลอยออกมาแล้ว มันทำให้รู้สึกเหมือนเราอยู่ท่ามกลางบรรยากาศในหนังได้เป็นอย่างดีทีเดียว รวมถึงในฉากแอคชั่นทั้งหลายซึ่ง 3D ถูกใช้มาช่วยเสริมให้ดู ยิ่งใหญ่สมจริงมากขึ้นไปอีกขั่นหนึ่ง เพราะฉนั้นก็นับว่าไม่เลวนะครับ ที่จะลองไปดูหนังเรื่องนี้กันแบบ 3D ซะหน่อย สำหรับผมคิดว่าคุ้มค่า กับราคาที่ต้องเสียเพิ่มครับ (เนื่องด้วยหนังมีความยาวประมาน 3 ชั่วโมง หลังจากดูจบจึงทิ้งอาการปวดตาไว้เล็กน้อยแต่ไม่น่าจะเป็นปัญหาถ้าได้พักตาสักหน่อยครับ) จากนี้ไปก็นับว่าน่าติดตามทีเดียวว่า ไมเคิล เบย์ จะไปต่อได้ไกลแค่ไหน กับระบบ 3D


..........ดังนั้นโดยรวมแล้วสำหรับผมคิดว่า Transformers ภาคนี้สามารถแก้ตัวได้ไม่เลวนะครับ ให้ความรู้สึกอิ่มเอมออกมาจากโรงหนังได้มากทีเดียว จะว่าไปแล้วก็ยังมีภาพยนตร์อีกตั้งหลายเรื่องนะครับ ที่บางภาคบางตอนเราอยากจะลืมๆไปซะ ว่ามันเคยเกิดขึ้นมา แต่สำหรับ Transformers2 ส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะลืมยากหน่อยครับ.. เปล่านะครับไม่ใช่อย่างที่คิดกันนะครับ ไม่ได้เป็นเพราะ เมแกน ฟอกซ์ หรอกครับ(จริงๆ).....

Saturday, June 25, 2011

GREEN LANTERN

ด้วยความที่ชื่นชอบเรื่องจำพวกซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีพลังวิเศษเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่มีภาพยนตร์แบบนี้เข้ามาไม่ว่าจะมาจากจักรวาลไหน(มาเวลหรือดีซี) ก็ตื่นเต้นและอยากจะไปดูทุกเรื่องไป ซึ่งก็ต้องถือว่าโชคดีมาก เพราะช่วงชีวิตที่ยังสามารถดูหนังได้จัดๆแบบในขณะนี้ (ช่วงยังเยาว์กว่านี้หากใช้ทุนทรัพย์จากบุพการีไปถลุงเข้าโรงหนังขนาดนี้ อาจถูกขี้เถ้ายัดปากเอาได้ และรุ่นพี่หลายคนเปรยให้ฟังบ่อยๆว่า ระยะหลังนี้ไม่ได้เข้าโรงหนังเลยบ้างหล่ะมีลูกมีเต้าแล้วได้ดูแต่การ์ตูนบ้างหละ)เป็นยุคที่เหล่าซุปเปอร์ฮีโร่พากันกระโดดออกมาจากหนังสือการ์ตูนเป็นทิวแถว แถมมีโปรเจคใหญ่ๆรอคอยให้ติดตามกันอีกมาก พาให้ชื่นหัวใจว่าจะได้สนุกกันไปอีกนานหล่ะครับ
พูดถึงเรื่องชื่นหัวใจแล้ว ก็อยากจะกล่าวสรรเสริญเหล่าผู้สร้างหนังทั้งหลายที่ช่างเข้าอกเข้าใจดีเสียเหลือเกิน ว่าเด็กผู้ชายนอกจากจะชอบซุปเปอร์ฮีโร่แล้วยังมีอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ ใช่แล้วครับเราขอขอบคุณตั้งแต่ที่คุณนำเมเกน ฟอกซ์ มาซ่อมรถ นำ นาตาลี พอต์แมน มาปิ๊งคนตัวใหญ่ถือค้อนแปลกๆ และนำ เบล้ค ไลฟลี่ มารวบผมใส่ชุดราตรีในหนังเรื่องนี้(แฟนๆน้องเบล้คห้ามพลาด)เราขอบคุณมากและขอให้รักษาความดีนี้ไว้ตลอดไปครับ
ในระยะหลังภาพยนต์แนวนี้มักจะโดนค่อนแคะในเรื่องความอ่อนของบทอยู่เสมอ แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็เช่นกัน ผมเองก็รู้สึกอย่างนั้นจนหลังๆก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าเป็นหนังประเภทนี้แล้ว ก็จะถือว่ามาดูเอาสนุกไป คิดว่าเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะการ์ตูนแต่ละเรื่องที่ถูกหยิบมาสร้างเป็นภาพยนต์ล้วนแล้วแต่มีอายุอานามกันไม่ใช่น้อย เรื่องราวเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก็มากมายพันเกี่ยวกันอีรุงตุงนังไปหมด จากการผ่านร้อนผ่านหนาว หนังสือถูกทำให้จบ ถูกปลุกให้ฟื้น ถูกพาไปรวมกันเรื่องนั้นเรื่องนี้กันวุ่นวาย ทำให้การจะประกอบร้อยเรียงขึ้นมาเล่าในลักษณะภาพยนตร์นั้น จึงยากในการเลือกว่าจะไปหยิบยกเอาจุดไหนช่วงไหน หรือจะเลือก"เชื่อ" เรื่องราวจากเล่มไหนดีทำให้ออกมาขาดๆเกินๆไปก็บ่อย และเนื่องด้วยเป็นการ์ตูน บางครั้งที่มาที่ไปหรือเหตุผลบางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมาตอนนั้นอาจจะแปร่งๆแปลกๆไปบ้าง พอนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ก็เกิดอาการเกรงใจต้นฉบับรวมถึงแฟนๆกันขึ้น จึงไม่กล้าเปลี่ยนหรือใส่อะไรเพิ่มลงไปมากมายก็เป็นได้ แต่ถึงกระนั้นก็ตามผมก็ยังไม่เชื่อว่าหนังซุปเปอร์ฮีโร่(จากหนังสือการ์ตูนหรือเกมส์)จะมีบทดีๆแน่นๆไม่ได้และจนกว่าหนังเรื่องนั้นจะมาถึงก็ขอดูเอาสนุกไปก่อนก็แล้วกันครับ
ว่าไปไกลทีเดียว กลับมาที่ฮีโร่ตะเกียงเขียวกันดีกว่า ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีสิ่งหนึ่งสะกิตใจผม คือในตอนที่ ฮาล จอร์แดน บอกกับเหล่าการ์เดี้ยนผู้สูงส่งว่าบนโลกมีคำหนึ่งคำที่ชอบพูดกันคือ "เราเป็นเพียงมนุษย์" ด้วยว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้น มนุษย์มิอาจบังคับหรือล่วงรู้ได้ จึงเจียมตัวว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเรามากนัก ทำให้เรายังมีความกลัวและเราก็ยอมรับว่าเรากลัวเพราะ"เราเป็นเพียงมนุษย์" สำหรับฮาลนั้นแหวนได้เลือกเขาเพราะเห็นบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ในตัวเขา ซึ่งเขาเองก็ยังไม่เห็นมันและในตอนแรกเขายังมีความกลัวอยู่ ซึ่งดูจากจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังฮาลทำเครื่องบินตก ที่หลานของเขาถามว่าเขากลัวหรือไม่และเขาได้ตอบว่า ตามหน้าที่แล้วเขากลัวไม่ได้ หรือเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับแครอล ซึ่งต้องจบลงไปทั้งๆที่ก็ดูว่าทั้งสองคนยังคงมีใจให้กันอยู่ โดยที่ตัวฮาลเองโทษในความเป็นคนไม่รับผิดชอบของตน แต่แท้จริงแล้วแครอลบอกว่ามันเป็นเพราะเค้ากลัวว่าจะรักเธอมากเกินไปกว่านี้ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าความกลัวของเขาคือกลัวที่จะยอมรับว่าตัวเองกลัวนั้นเอง และเมื่อเขายอมรับและหันหน้าเข้าสู้กับความกลัวนั้น จึงทำให้เกิดความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ซึ่งในหนังบอกว่าสิ่งนี้แหละคือพลังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ทำให้ผมคิดเห็นด้วยว่าในบางเวลาที่คนเรากลัวอะไรซักอย่าง แล้วเราเพิกเฉยกับความกลัวนั้นมันไม่เคยจะทำให้ความกลัวเหล่านั้นหายไปหรือแม้จะบรรเทาลงก็เพียงไม่นาน ซำ้ร้ายอาจยิ่งเป็นการพอกพูนความกลัวเหล่านั้นขึ้นอีกด้วยซ้ำ แต่หากเราหันหน้าเข้าเผชิญกับความกลัวนั้นๆ อาจจะทำให้เราเอาชนะมันได้ในที่สุดหรืออย่างน้อยก็เข้าใจมันยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่นเมื่อก่อนนี้คนเราอาจจะกลัวฟ้าผ่า กลัวเสียงที่แผดดังกึกก้อง กลัวแสงสว่างจ้า กลัวอานุภาพที่รุนแรงจนพื้นดินสะเทือนของมัน แต่เมื่อเราเผชิญกับมัน ค้นหา ศึกษามัน จนในที่สุดเราก็สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ และเกิดสายล่อฟ้าขึ้นมาในปัจจุบันเป็นต้น แสดงให้เห็นว่าถ้าเรากล้ายอมรับและเผชิญกับความกลัวก็อาจจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในตัวฮาลที่แหวนมองเห็น น่าจะเป็นจินตนาการแบบ"อาร์ทตัวพ่อ"ของเขาตอนเสกสิ่งต่างๆออกมาเวลาคับขันเสียมากกว่า อย่างเช่น ใส่ล้อ สร้างรางให้คอปเตอร์มั่งหล่ะ คนจะตกลงพื้นสร้างนำ้มารับบ้างหล่ะ(ผมคิดได้แค่เบาะเอง) จิตนาการเฮียสูงส่งมากๆขอคาราวะ
มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากกล่าวถึงคือ อันที่จริงแล้วยังมีฮีโร่ตัวจริงที่ช่วยนำพาบรรดาเรื่องราวในหนังสือการ์ตูนอันเป็นที่รัก ออกมาโลดแล่นอยู่ในโลกภาพยนตร์อยู่อีกกลุ่มหนึ่ง ฮีโร่เหล่านี้นับเป็นฮีโร่ที่น่าสงสารเพราะไม่ได้โด่งดังนามกระฉ่อน บินฉวัดเฉวียนให้ผู้คนปรบมือกู่ร้องหลังจากปฏิบัติภาระกิจจบในแต่ละครั้ง แต่ต้องยืนอยู่บนพื้นที่ห่างๆที่แม้จะได้ยินเสียงชื่นชมแต่ไม่ค่อยมีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาเท่าใดนัก ฮีโร่กลุ่มนี้ก็คือ CGI และแหล่าศิลปิน CGI นั้นเอง ทุกวันนี้CGIถูกพัฒนามาถึงระดับที่เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในภาพยนต์อีกแล้ว ลำแสงนั่น พลังโน้น ดาวนี่ จึงไม่ได้อยู่นิ่งๆบนหน้ากระดาษอีกต่อไป (เรื่องนี้หน้ากากดั่งใจนึกของฮาลเดี๋ยวมาเดี๋ยวหายบนหน้าแบบคาๆตาจนพาสงสัยว่าเดี๋ยวนี้มันทำได้ขนาดนี้เชียวหรือ) ซึ่งปัจจุบันนี้หนังเรื่องหนึ่งใช้ CGIกันในสัดส่วนที่มากขึ้นบางเรื่อง 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ (ไม่นับ animation หรือ ภาพยนต์ที่เป็น CGI ล้วนๆนะครับ) แต่เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่า(ข้อมูลจากนิตยสารFILMAXประจำเดือน มิถุนายน)ประธานสมาคมวิชวลเอฟเฟกต์ อีริค รอธ เขียนจดหมายเรียกร้องความยุติธรรมจากบรรดาสตูดิโอทั้งหลาย ว่าด้วยเรื่องของการเรียกร้องสิทธิ์ของศิลปินCGI ซึ่งปัจจุบันถูกบังคับให้ทำงานหนักในเวลาที่น้อยเกินไปเพราะต้องการเร่งให้หนังเสร็จตามกำหนดฉายที่วางไว้ (เค้ายกเรื่องGreen lanternนี้ขึ้นมาเป็นตัวอย่างด้วยว่าเกือบทำวิชวลเอฟเฟกต์ไม่ทัน) แล้วยังได้ค่าตอบแทนที่ไม่เหมาะสม สวัสดิการก็ไม่ดี แถมยังไม่ได้รับเครดิตที่สมควรจะได้รับ (รอบที่ผมเข้าไปดูนี้ชื่อคนที่เกี่ยวข้องในด้าน CGI ขึ้นมาตอนที่นอกจากผมทุกคนออกจากโรงไปหมดแล้ว) ซึ่งน่าเห็นใจมากครับ ผมเองก็มีเพื่อนที่ทำงานด้านนี้อยู่บ้างก็พอเข้าใจ และขอเป็นกำลังใจให้เหล่าศิลปินCGIครับ คนเราทำงานหนักได้ด้วยใจคนที่ปิดทองหลังพระก็สมควรจะต้องมีเงินไปซื้อทองครับ.....

Thursday, June 23, 2011

SUPER 8

ต้องยอมรับก่อนเลยครับว่า ก่อนหน้าที่จะได้เข้าไปดูเรื่องนี้ ทุกครั้งที่เห็นตัวอย่างหนัง"ฉากที่เห็นประตูรถไฟซึ่งมีสัญลักษณ์กองทัพอากาศสหรัฐที่เป็นรูปดาวอยู่บนลายธงชาติทันใดนั้นประตูเหล็กก็เกิดการปูดผิดรูปจากการกระแทกอย่างแรงของอะไรซักอย่างที่อยู่ด้านในซึ่งแวดล้อมด้วยบรรยากาศที่ดูน่าจะอยู่ในฉากการสู้รบ" ผมจะเกิดความเข้าใจไปว่ากำลังดูตัวอย่างของ"กับตันอเมริกา"ไปเสียทุกครั้ง(เป็นการคิดไปเองของผมแต่เพียงผู้เดียวไม่ไช่ว่าตัวอย่างเค้าไม่ดีแต่อย่าใด) และไม่ได้ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากเท่าใดนัก รู้คร่าวๆว่าเป็นเรื่องราวที่มีกลุ่มเด็กที่นำกล้อง super8 ไปถ่ายทำหนังกันตามประสาเด็กแต่บังเอิญไปถ่ายติดเอาเหตุการณ์ที่เป็นความลับของกองทัพเกี่ยวกับตัวประหลาดหรือมนุษย์ต่างดาวเข้าให้ จนสุดท้ายกลายเป็นเรื่องราวในทำนองเอเลี่ยนบุกโลกเพียงเท่านั้น แต่ที่ไปดูก็เพราะมีสิ่งที่สนใจอยู่คือ 1) น้อง Elle น้องสาวของ ดาโกต้า เฟนนิ่ง ซึ่งเคยเห็นภาพของเธอ(ตอนยังเด็กๆกว่าปัจุบันนี้)ออกมาตามอินเตอร์เน็ทอยู่เนืองๆดูน่ารักน่าชังไม่น้อย(หลังจากดูหนังจบออกมาจากโรงผมได้ยืนดูดิสเพลย์ของหนังเรื่องนี้หน้าโรงหนัง เค้าฉายบทสัมภาษณ์เธอโดย พีเค อยู่ (ว๊าว พีเคได้ไปสัมภาษณ์ด้วย) ถึงได้รู้ว่า ดาโกต้าพี่สาวเธอก็เล่น war of the world ให้ สปีลเบอร์ก ตอนอายุเท่าเธอตอนนี้เป๊ะเลย(ฮั่นเน่! ลุงสปีลเบิร์กเล่นเคล็ดอะไรหรือเปล่าเนี่ย) 2) ผกก J.J. Abrams (ควบตำแหน่งเขียนบทด้วย) ซึ่งถ้าพูดถึงชื่อชั้นจากงานที่ผ่านมาที่เค้าโฆษณากันอย่าง Misson Impossible3 หรือ Star Trek นั้นส่วนตัวแล้วไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่ ซีรีย์ที่ทำเอาอดหลับอดนอนนั่งดูทั้งคืนแถมยังมีหลายครั้งที่แทบคลั่งเมื่อมันจบลงในแต่ละตอนและพูดติดปากบ่อยๆว่าคนคิดเรื่องมันคิดได้ยังไง อย่าง Lost ที่เขาทั้งเขียนบทและกำกับเองนี่สิทำให้ผมต้องดูเรื่องนี้ให้ได้ และ3) กล้อง super8 เพราะส่วนตัวชอบอารมณ์ที่ได้จากกล้องพวก8mmนี้เป็นทุนเดิมทำให้อยากรู้ว่าในหนังจะเสนออะไรที่น่าสนใจเกี่ยวกับกล้องนี้ออกมาบ้างหรือไม่

ตัวหนังดำเนินเรื่องราวของเหตุการณ์"สัตว์ประหลาดหลุดมาอาละวาด"ควบคู่ไปกับเรื่องราวชีวิตของเหล่าตัวละครหลักๆ ซึ่งมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ต่อกันหลังสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปโดยที่ให้น้ำหนักไปที่ประเด็นหลังมากกว่าเรื่องของมนุษย์ต่างดาว ดังนั้นหากใครที่ตั้งใจว่าจะไปดูหนังสู้กับสัตว์ประหลาดต่างดาวก็คงจะผิดหวังกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉากแอ็กชั่นจะดูง่อยเปลี้ยน่าเบื่อแต่อย่างใดเพราะก็ไม่ได้เสียชื่อป๋าสปีลเบอร์กแกแหละครับอันที่จริงแล้วก็จัดเป็นหนังแอ็กชั่นฟอร์มดีเลยทีเดียว(ไม่รู้ทำไมบ้านเราถึงโปรโมตน้อยกว่าหนังอึ๋มทะลุจอ) แต่ถ้าพูดกันตามตรงแล้วก็นับว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่นักทั้งเรื่องเอเลี่ยนบุกโลก,เรื่องโครงการลับที่ทางการปิดบัง,ความสัมพันธ์พ่อลูกที่ง่อนแง่นในตอนแรกแล้วมาเข้าใจกันในภายหลัง หรือการให้อภัยคนที่เป็นต้นเหตุของการจากไปของคนที่รักในท้ายเรื่อง รวมไปจนถึงเรื่องราวของกลุ่มเด็กๆที่ถ่ายทำภาพยนต์กันเอง ล้วนไม่ได้แปลกใหม่อะไรแถมประเด็นเหล่านี้ทั้งหมดได้เคยถูกนำไปชูเป็นประเด็นหลักของหนังเรื่องอื่นมาแล้ว(บางประเด็น หลายเรื่องแล้วด้วยซำ้) แต่น่าแปลกที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าเบื่อแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าหนังดูสนุกและมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราว(พี่พอจะเดาออก)ได้อย่างดีทีเดียว ทั้งหมดนี้คงต้องยกความดีความชอบให้แก่บทโดยรวมของหนังซึ่งถ่ายนำ้หนักของแต่ละประเด็นได้ในสัดส่วนที่ดีเยี่ยมอย่างเช่น"โจ"ตัวเอกของเรื่องที่เป็นเด็กมีปมเพราะการจากไปของแม่ก็ไม่ได้ดูเก็บกดหรือโหยหาอาวรณ์แม่จนน่ารำคาญแต่กลับเป็นตัวละครซึ่งมีมิติน่าสนใจเพราะภายนอกเขาแสดงออกถึงความแข็มแข็งและใช้ชีวิตต่อไปเป็นปกติให้ทุกๆคนในเมืองที่ล้วนเป็นห่วงเห็นว่าตัวเค้าแองนั้นสบายดีทั้งที่จริงๆแล้วเขายังคงเก็บสร้อยคอของแม่ไว้ติดตัวตลอดเวลาและทุกครั้งที่รู้สึกไม่ปลอดภัยหรือมีปัญหาไม่สบายใจใดๆเค้าจะนำมันออกมาถือไว้ในมือให้ได้รู้สึกเหมือนแม่ยังอยู่กับเขาแสดงให้เห็นว่าบาดแผลในใจของโจยังคงมีอยู่และสร้อยเปรียบเสมือนตัวแทนของแม่ซึ่งโจยึดถือเอาไว้เป็นดั่งที่พึ่งเดียวของเขาขณะที่ในความเป็นจริงเขายังมีพ่ออยู่แต่สำหรับโจแล้วพ่อยังไม่สามารถทำหน้าที่ในส่วนนี้ได้ ภาพของโจที่ดูเปราะบางลึกๆแต่ยังมีความสุขกับชีวิตได้ทำให้เราเอ็นดูและพยายามเอาใจช่วยเขาไปตลอดทั้งเรื่อง หรือในส่วนของรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในหนังเช่นกลุ่มเพื่อนของโจซึ่งแต่ละคนในแก็งมีคาเรกเตอร์ของตัวเองชัดเจน(ซึ่งแทบเป็นสูตรสำเร็จ)มีเจ้าตัวที่พูดมาก มีเด็กจอมปอด มีเด็กที่บ้าอ่ะไรซักอย่างมากๆ(ในเรื่องนี้คือบ้าการทำหนัง) แต่บทบาททั้งหมดไม่มีคนไหนที่ล้นเกินไปจนน่ารำคาญ อีกทั้งการที่โจปิ๊งกับสาวน้อย อลิส ก็ทำออกมาดูน่ารักน่าลุ้นดีอีกด้วย ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าหนังเรื่องนี้มีการวางสัดส่วนที่ลงตัวในหลายๆด้านทำให้โดยรวมแล้วเป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกและสร้างความประทับใจไว้พอสมควรทีเดียวหลังจากดูจบ


ประเด็นหนึ่งที่ผมได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นในฉากที่โจและพ่อของเขาทะเลาะกันซึ่งเป็นจุดไคล์แม็กของความสัมพันธ์พ่อลูกที่ดูง่อนแง่นมาตั้งแต่ต้น พ่อของโจซึ่งก็ยังคงมีบาดแผลจากการจากไปของภรรยาเช่นเดียวกันกับโจ และแสดงออกโดยการทำงานหนักและยังไม่ให้อภัยผู้ที่มีส่วนกับการเสียชีวิตของภรรยาของเขา ในตอนที่พ่อสั่งไม่ให้โจไปยุ่งเกี่ยวกับลูกสาวของผู้ที่มีส่วนกับการเสียชีวิตของภรรยา โจได้ปฏิเสธที่จะทำตามและต่อต้านความคิดของพ่อ ทำให้พ่อของเค้าพูดในทำนองว่า ในตอนนี้ตัวเขาเองต้องรับภาระหน้าที่ทางการงานอันหนักหนามากพออยู่แล้วอย่าทำตัวเป็นปัญหาอีกเลยและออกจากบ้านไป เหตุการณ์นี้ทำให้ผมตระหนักได้ว่า ในหลายครั้งคนเรานั้นมักจะมองปัญหาของตนเองเป็นศูนย์กลางและเห็นมันยิ่งใหญ่เสียเหลือเกินจนไปบดบังปัญหาหรือกระทั่งตัวตนของคนอื่น ซึ่งแท้จริงแล้วคนทุกคนมีปัญหาของตนกันทั้งนั้นและบางคนมีปัญหาที่หนักหน่วงกว่าปัญหาของเราหลายเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้คนรอบตัวที่เรารักที่เราให้ความสำคัญต่อเขา การที่เราจะอยู่ด้วยกันเราก็ควรที่จะพยายามมองปัญหามองสิ่งที่เค้าต้องแบกรับเมื่อถึงเวลาที่เราไม่เข้าใจกันเราก็ควรที่จะถอยหลังจากปัญหาของเราสักก้าวสองก้าวให้เราได้มองเห็นและรับรู้ถึงปัญหาของเขาเหล่านั้นเพื่อความเข้าใจกัน เพื่อช่วยกันรับมือกับสิ่งที่ต้องเผชิญ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ การก้าวออกมาจากปัญหาของตนเพียงชั่วครู่น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ได้หนักหนาเกินไปนักที่เราจะเสียสละให้แก่คนที่เราคิดว่ามีความสำคัญต่อเรา ซึ่งพ่อของโจเอง ลึกๆในใจของเขาแล้วปัญหาที่หนักที่สุดที่เค้าต้องแบกรับไม่ใช่ภาระหน้าที่ทางการงานที่เขาต้องรับผิดชอบ แต่เป็นความเหงาจากการสูญเสียภรรยา(เห็นได้จากที่เขายังคงแอบร้องให้อยู่คนเดียว) ในขณะที่โจเองก็ยังคงคิดถึงแม่และยังไม่มีความรู้สึกว่าพ่อจะสามารถเติมเต็มในส่วนของแม่ที่จากไปได้จึงยังเก็บสร้อยที่เป็นตัวแทนของแม่เอาไว้ ซึ่งแท้จริงแล้วแต่ละฝ่ายก็คือยาที่จะสมานแผลของอีกฝ่ายได้อย่างดีที่สุด ดังนั้นเพียงแค่เราไม่มองปัญหาของเราเป็นศูนย์กลางและเปิดรับปัญหาของคนที่เรารักก็จะทำให้การอยู่ด้วยกันของคนเรามีความหมายและมีคุณค่าต่อกันสามารถฝ่าฟันไปพร้อมกันได้อย่างมั่นคง ดั่งเช่นในท้ายที่สุด ที่โจยอมปล่อยมือออกจากสร้อยของแม่หลังจากพ่อของเขาบอกกับเขาว่า "เรามีกันและกันนะลูก"
ปล.สำหรับน้อง Elle ก็ไม่ผิดหวังครับแสดงได้น่ารักทีเดียวและดูถ้าจะออกตัวได้ดีเสียด้วย(สำหรับผมคิดว่าออกตัวได้ดีกว่าพี่สาวเธอนะครับ)ต้องรอดูกันต่อไปขอเอาใจช่วยน้อง Elle ไว้ ณที่นี้ครับ อ่อเรื่องกล้องsuper8 ก็ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากมายเท่าไหร่นักแต่แอบกระซิบว่าหนังจบแล้วอย่าพึ่งรีบลุกไปไหนกันครับรอดูอารมณ์จากกล้องสุดคลาสสิกนี้กันแบบน่ารักน่าเอ็นดูกันครับ...