Wednesday, April 25, 2012

บทความ : ชีวิตโชกโชน

 
     ทิ้งให้บล็อกหยุดนิ่งอยู่นานมากทีเดียว แต่ก็ตามที่ได้ตั้งใจไว้ว่าจะไม่หยุดที่จะทำไม่หยุดที่จะเขียน ยังไงๆก็ต้องหาเรื่องหาราวมาเขียนต่อไป เพราะได้รับรู้ถึงประโยชน์แห่งการเขียนและการอ่านที่บังเกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างชัดเจน คือรู้สึกได้ว่าตัวเองสามารถนึกหา"คำ" หรือประโยคเพื่อจะนำมาใช้อธิบายสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้อย่างเหมาะสมและรวดเร็วขึ้น ทำให้คาดหวังว่าการฝึกเขียนฝึกเล่าต่อไปจะทำให้ตัวเองพัฒนาขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ซึ่งวิธีการนี้ผมไม่หวงแต่อย่างใดและยืนยันว่าเกิดผลจริงๆครับ สิ่งที่ตั้งใจอีกอย่างคือ จากนี้ต่อไปจะกลั่นกรองเขียนเรื่องราวให้หลากหลายขึ้นโดยไม่จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องราวของหนังหรือภาพยนต์เท่านั้น โดยจะพยายามจับหาเรื่องราวอะไรก็ตามที่คิดว่าน่าสนใจ หรือเรื่องราวที่อยากจะเขียนถึง และจะพยายามถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุด.....
 
.....หลังจากชั่งใจไปมาอยู่เล็กน้อย ว่าจะเขียนเรื่องอะไรดีและเรื่องไหนที่จะเขียนไปจนจบ,ไปจนรอดได้ ท้ายที่สุดชั่งออกมาเป็นเรื่องนี้ครับเรื่องที่ว่าด้วย "ชีวิตที่โชกโชน" ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ผมไม่ได้กำลังจะมาเล่าชีวิตที่โชกโชนของตัวเองหรือของใครๆ เพียงแต่กำลังจะอธิบายจากมุมมองของตัวเองต่อคำว่า "ชีวิตที่โชกโชน"ก็เพียงเท่านั้น โดยมีจุดประสงค์ว่าการมีชีวิตวิตที่โชกโชนเป็นสิ่งที่น่าสนใจ น่ามีไว้ครอบครอง โดยที่ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ได้มี"ชีวิตที่โชกโชน"แต่อย่างใด และก็กำลังพยายามจะมีชีวิตที่โชกโชนเป็นของตัวเองอยู่เช่นกันครับ
 
ขอขยายความสักหน่อยที่ผมออกตัวไว้ว่าชีวิตของตัวเอง"ไม่โชกโชน" เพราะอะไรถึงไม่โชกโชน แล้วที่โชกโชนหล่ะเป็นอย่างไร ใช้สิ่งใดมาวัด มาจำแนก ผมคิดว่าต้องใช้ตัวเองวัดครับ ชีวิตใครชีวิตมัน ทุกคนเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง ดังนั้นทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแต่งตั้งชีวิตตัวเองว่าจะเป็นชีวิตที่โชกโชนหรือไม่ ก็ย่อมได้ อย่าไปสนใจใครครับ และอย่าไปทักไปขวางใครเขาหากเขาจะมีชีวิตที่โชกโชน เพราะความโชกโชนไม่ใช่ทรัพยากรที่ต้องแบ่งบันกัน ความโชกโชนมีเพียงพอให้ทุกคน ต่อให้มนุษย์ทุกผู้ทุกคนบนโลกนี้มีชีวิตที่โชกโชนกันหมด โลกก็ไม่แตกครับ.....
 
  
.....คำถาม : เพราะอะไรถึงอยากมีชีวิตโชกโชน? ผมไม้ได้จะบอกว่าชีวิตทุกวันนี้ของผมไม่ดีนะครับ ผมมีความสุขดีและดีมากอยู่ทีเดียว ชีวิตของผมไม่ได้น่าเบื่อ ความอยากโชกโชนของผมนั้นมีเหตุผล คือคำว่า"โชก" มันเป็นอาการของอะไรที่มากๆ ที่ได้ยินบ่อยก็อย่างเช่น "เปียกโชก" คือมันเป็นอะไรที่มากกว่า"ชุ่ม" ขึ้นไปอีก ชีวิตจะโชกโชนได้มันน่าจะเป็นชีวิตที่ "เยอะ"คือ พบ เจอ ผ่าน มาเยอะ เริ่มฟังดูดีขึ้นมาแล้วใช้ไหมครับ ดันนั้นการอยากจะมีชีวิตโชกโชนของผมคือความอยากจะพบเจออะไรให้เยอะๆ อยากจะผ่านอะไรต่างๆนาๆให้มากเข้าไว้ เป็นความต้องการในด้านบวกนะครับ มิได้อยากจะไปโลดโผนโจนทะยานผ่านเหวผ่านหุบอะไรที่ไหนให้ชีวิตกร้าวเกร็งเผลเป็นเต็มตัวอะไรอย่างนั้นไม่ใช่นะครับ
 

ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยสอนผมไว้ว่า ถ้าเราอยากจะเล่าเรื่องให้ได้มากๆเราต้องมีเรื่องที่จะเล่าให้มากๆ เปรียบกับการทำกับข้าว ถ้าเราอยากจะทำกับข้าวให้ได้หลายๆเมนูเราก็ต้องมีวัตถุดิบในตู้กับข้าวให้เยอะๆ ถ้ามีไม่เยอะถึงแม้ว่าเราจะ"ทำกับข้าว" เก่งแค่ไหน เราก็จะทำกับข้าวแบบ"วนเวียน"อยู่ได้ไม่กี่อย่างจะจำเจซ้ำซาก ผมอยากให้ตู้กับข้าวผมโชกไปด้วยวัตถุดิบต่างๆ จนสามารถทำกับข้าวให้ได้มากๆหลากหลายรสชาติไม่มีจำเจน่าเบื่อ นอกจากนั้นผมยังไม่ได้อยากให้ตู้กับข้าวนี้มีแต่เฉพาะเรื่องราวของตัวเองเท่านั้น เพราะถือว่าการได้รับรู้รับฟัง เรื่องราวของคนอื่นถือเป็นกำไรสำหรับตัวเรา เพราะหนึ่งชีวิตของคนเราไม่ได้ยาวนานพอที่จะประสพพบเจอทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นถ้าใครที่เค้ามีเรื่องราวแบบที่เราไม่คุ้นไม่มี แล้วเค้ายินดีที่จะถ่ายถอดให้ ผมก็จะยินดีเป็นอย่างมากที่จะรับวัตถุดิบที่ไม่ต้องออกไปหาเองนี้เก็บไว้ในตู้ของผมไปด้วย
 

ในอีกแง่หนึ่งการที่ตั้งใจจะทำชีวิตให้โชกโชนนี้ยังเป็นการหนุนให้เราเปิดรับโอกาส เปิดรับอะไรใหม่ๆ รวมถึงอาจจะทำให้เรากล้าจะทำในสิ่งที่เราไม่กล้ามาก่อนอีกด้วย เพราะอย่างที่โบราณท่านว่าไว้ "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทำ" การเก็บเรื่องราวมาจากคนอื่นนั้นมันก็ดี แต่หากมีโอกาสที่เราจะได้สัมผัสเอง ได้รู้สึกเองก็ย่อมทำให้เรื่องราวนั้นถูกเก็บผ่านมุมมองของเราเอง ทำให้มันจริงสำหรับตัวเราเองมากกว่าอย่างแน่นอน และอีกครั้งครับที่ต้องขอบอกว่า กรุณาอย่าได้ตีความการ"เปิดโอกาส" นี้ไปใช้กับอะไรในด้านลบด้านไม่ดีเลยครับ ถึงแม่ว่าการจะวัดหรือตีความว่า สิ่งอันใดดี อันใดไม่ดี อะไรถูกอะไรผิดนั้นจะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และแปรผันไปได้ตามแต่ปัจจัยประกอบต่างๆมากมายก็ตามที เอาเป็นว่าเราถือว่าการอยากมี"ชีวิตที่โชกโชน" ของเราเป็น"ความหวังดี" ต่อชีวิตของตัวเอง หากสิ่งใดโอกาสใดที่จะเข้ามา แล้วเป็นสิ่งที่ขัดกับ"ความหวังดี" ต่อชีวิตตัวเอง เราก็ไม่ต้องไปเปิดให้มัน อย่างนี้ก็แล้วกันครับ.....

 
.....คำถาม : ทำอย่างไรให้มี "ชีวิตที่โชกโชน" สิ่งแรกเลยครับตั้งใจไว้ก่อนเลยว่าเรากำลังจะปั้นชีวิตให้โชกโชน ที่นี้พอเราตั้งใจอย่างนั้นได้แล้วก็จะทำให้เราเปิดเก็บสิ่งต่างๆรอบตัวที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดทุกเวลานาที เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเป็นราวอยู่ในตัวมันเองแทบทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเหตุการณ์พิเศษ เหตุการณ์หวือหวาพจญภัยอะไรทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองมันแบบไหน เก็บมันแบบไหน แม้แต่ตอนที่เราอยู่คนเดียวในที่ที่ไม่มีใครเลยด้วยซำ้ ถ้าเราอยากจะหาเรื่องหาราวมาเก็บไว้ซะอย่างทำไมมันจะไม่มีครับ ก็ถึงมันจะไม่มีใครเลยมันก็มีตัวเราเองอยู่ตั้ง 1 คน ก็หาเรื่องมันกับตัวเราเองนี่แหละมีเรื่องให้หาตั้งเยอะตั้งแยะไป เพราะฉนั้นพึงระลึกไว้เสมอว่า ไม่เคยมีใครคนไหนที่อยู่โดยไม่มี"ใคร" เลยจริงๆ เพราะถ้าเค้ายัง"อยู่" แสดงว่าอย่างน้อยก็มีตัวเค้าเองแล้ว 1 คน เอาไว้ผมจะขยายความถึงเรื่องนี้ในโอกาสอื่นอีกทีแล้วกันครับ มิเช่นนั้นจะเป็นการผิดประเด็นไปซะเปล่าๆ
 
จากย่อหน้าก่อนในเรื่องของการเก็บสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวให้เป็นเรื่องเป็นราวนั้น อาจจะยังฟังดูคลุมเครือไปซักหน่อยว่าจะนำมาใช้จริงอย่างไร วิธีที่ง่ายที่สุดน่าจะเริ่มจากการ"สังเกตและตั้งคำถาม" อธิบายให้ชัดคือ เมื่อเราเริ่มต้นมองและสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัว แน่นอนว่าเราจะเจอกับสิ่งที่เราไม่รู้ พอไม่รู้ก็ลองอยากรู้ดูครับ แล้วเราก็จะได้คำถามออกมา เมื่อได้คำถามแล้วเลือกดูว่าคำถามไหนที่มันน่าสนใจ น่าหาคำตอบ น่ารู้มากๆ ทีนี้แหละครับไอ้ตอนที่เราหาคำตอบนี่แหละไม่ว่าจะเจอหรือไม่เจอ หรือเป็นคำตอบที่ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง แต่ระหว่างที่เราหาคำตอบนี้เอง มันจะมีโอกาสเกิดเป็นเหตุการณ์ที่น่าเก็บน่าจดจำ มาเพิ่มความโชกให้ตู้กับข้าวของเราอย่างแน่นอน เห็นหรือยังครับว่าเราทำชีวิตให้โชกโชนได้ไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตแบบไหน มีกิจวัตรประจำวันอย่างไร อยู่ที่เราว่าจะตั้งใจปั้นชีวิตให้โชกโชนแค่ไหน ไม่จำเป็นที่ต้องเป็นนักพจญภัยอะไรที่ไหนเลย ปุถุชนทุกคนก็ทำได้ อย่าไปสร้างอุปสรรค อย่าไปจำกัดการโชกโชนของตัวเอง มองให้มันง่ายเข้าไว้ยากมากพอดีชีวิตหมดเวลาโชกโชนกันพอดี

 
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว มันย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน ถ้ามีโอกาสจะนำพาตัวเราออกไปหาความโชกโชนจากข้างนอก ข้างนอกบ้าน ข้างนอกชิวิตปกติสามัญของเราบ้าง เพราะว่ามันจะ"สนุก" กว่าครับ จะสนุกกว่าแน่นอน และอย่าได้มุ่งไปเพียงแต่ที่จุดหมาย อย่างสถานที่ที่เราจะไป หรือ กิจกรรมที่เราจะไปทำ เพราะอันที่จริงแล้ว "ระหว่างทาง" นั้นย่อมต้องมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งปัญหา อุปสรรคต่างๆ ทั้งดีทั้งร้าย เหล่านี้คือสิ่งที่ไม่ควรละทิ้งไปทั้งสิ้น ดีไม่ดีแล้วเรื่องราว"ระหว่างทาง"นี้อาจจะมีผลต่อความโชกโชนของเรามากซะกว่าจุดหมายปลายทางซะด้วยซ้ำไป.....
 
.....มีประเด็นหนึ่งที่ผมอยากจะขอกล่าวถึง เรียกให้ชัดแล้ว มันน่าจะเป็น "ข้อคิด" อย่างหนึ่งซึ่งตัวผมเองก็พึ่งรู้สึกและคิดได้เมื่อไม่นานมานี้ว่า อันที่จริงแล้วบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา แล้วเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก อย่างเช่นเราทำอะไรบางอย่างผิดพลาด หรือตกไปอยู่ในเหตุการณ์ที่เราต้องลำบากทุกข์ทน หรืออยู่ในสถานที่ รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่เราไม่ปรารถนา แน่นอนว่าในขณะที่เราเผชิญกับช่วงเวลาแบบนี้เราย่อมต้องรู้สึกไม่ชอบ ไม่ดี ไม่มีความสุขแน่นอน แต่พอเราได้ผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นๆมาได้แล้ว มันจะกลับกลายเป็น "ประสบการณ์" ที่ดีไห้แก่ตัวเรา ชีวิตเรา เป็นเหมือนว่าเราได้เรียนรู้ ได้ผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้ ทำให้เรารู้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น อะไรที่พลาดก็จะไม่พลาดอีก อะไรที่ผิดต่อไปก็ทำให้ถูก อะไรที่ทุกข์ก็ทำให้เวลาสุขก็สุขได้ยิ่งขึ้น ซึ่งก็ขอจำกัดความข้อคิดนี้ว่า "เหตุการณ์ที่เลวมักเป็นประสบการณ์ที่ดี"  มองในแง่ดีอีกอย่าง หากเราคิดไว้อย่างนี้แล้วระหว่างที่เราอยู่ในเหตุการณ์ที่เลวนั้นเราอาจจะรุ้สึกขุกข์น้อยลงได้บ้าง เพราะอย่างน้อยเราก็รู้ว่ามันจะกลายมาเป็นประสบการณ์ที่ดีให้กับเราในภายหลัง มันจะมาเพิ่มความโชกให้กับตู้กับข้าวของเราได้.....



 
.....มาถึงตรงนี้แล้วผมคิดว่าน่าจะทำให้ "การมีชีวิตที่โชกโชน" กลายเป็นสิ่งน่าสนใจขึ้นมาได้บ้างสำหรับท่านที่ได้อ่านบทความนี้ อันที่จริงแล้วแรงบันดาลใจให้ผมเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาจากประโยคที่หลายคนมักพูดว่า "รู้สึกว่าได้ปล่อยเวลาของชีวิตให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์" "มัวแต่ไปเรียน" "มัวแต่ไปทำงานที่นั้นที่นี่" "มัวแต่ไปคบกับคนนั้นคนนี้" "มัวแต่ไปทำแบบนั้นแบบนี้" เปล่าประโยชน์ เสียดายเวลา อย่าเลยครับอย่าไปคิดแบบนั้นเลย เพราะอย่างไรก็ดี เวลาเหล่านั้นมันได้ผ่านไปแล้วเราไม่สามารถจับต้องทำอะไรกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วได้ ในขณะเดียวกันทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเคยเกิดขึ้นมันก็คือเหตุการณ์ เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมีความหมายไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าเรามองมันอย่างไร กลั่นกรองมันอย่างไร เก็บรักษามันไว้อย่างไร ไม่แน่ว่าบางทีเราอาจจะมีชีวิตที่โชกโชนไปแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัวก็เป็นได้ อย่าลืมครับว่า ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา แล้วไม่มีคุณค่าไม่มีความหมาย เพราะยังไงมันก็คือชีวิตเรา อย่างไรแล้วมันย่อมต้องมีความหมายต่อตัวเราเองอย่างแน่นอน.....