Friday, October 28, 2011

IN TIME

……….หลังจากห่างหายไประยะหนึ่งได้ จากการเขียนบทความภาพยนตร์นี้ ก็รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าควรจะเขียนต่อไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เขียนสักที ทั้งๆที่ก็ยังคงเข้าโรงภาพยนตร์อยู่ตลอดอย่างที่เคย ได้แต่ จะ จะ อยู่นั้น แล้วอยู่ๆจังหว่ะนั้นก็มาถึงหลังออกมาจากการชมภาพยนตร์ที่รอคอยเรื่องหนึ่ง เหตุที่ "IN TIME" เป็นภาพยนตร์ที่รอคอยนั้นเป็นเพราะพลังดารา(สาว)ล้วนๆ ตั้งแต่ได้มีโอกาสเห็นตัวอย่างของหนังเรื่องนี้ครั้งแรก ก็พาให้ใจตื้นตันทันที่เมื่อพบว่ามีดารา(สาว)ขวัญใจของผมถึง2คนทีเดียว ที่มาแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ แถมหนึ่งคนในนั้นยังได้ถูกจับเปลี่ยน "ลุค" ให้ดูแปลกตาไปจากเคยอีกด้วย แหมอย่างนี้แล้วจะไม่ให้เป็นภาพยนตร์ที่รอคอยได้อย่างไรกันเล่า มันเป็นเช่นนี้นี่เองที่เค้าเรียกว่า"พลังดารา"


เรื่องราวของหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นในโลกอนาคตข้างหน้า ที่มนุษย์ทุกคนถูกกำหนดให้เจริญเติบโตมาจนถึงอายุ 25 แล้วร่างกายหน้าตาจะคงสภาพอยู่เช่นนั้นตลอดไป ไม่แก่ไปกว่านั้น ในขณะที่หลังจากอายุครบ25แล้วทุกคนจะมีเวลาเหลือให้ใช้ชีวิตต่อไปอีก 1 ปีเท่านั้น โดยทุกคนจะมี"นาฬิกาชีวิต"เรืองแสงสีเขียวๆคอยวิ่งนับถอยหลังอยู่บนแขนของแต่ละคน อย่าพึ่งตกใจไป มันไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องตายเมื่ออายุครบ 26 ปี ในเมื่อเราสามารถโอนถ่ายเวลาให้แก่กันและกันได้ ผ่านการจับมือแบบกลมเกลียว(เป็นการจับแบบไหนต้องขอให้ไปชมกันเอาเองนะครับ) ดังนั้นสิ่งที่ทุกผู้ทุกคนต้องทำคือพยายามแสวงหา "เติม" เวลาให้แก่ชิวิตของตนเองไปเรื่อยๆถ้ายังไม่อยากม่องเท่งเเป็นนาฬิกาถ่านหมดไปเสียก่อน สรุปว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือ"เวลา"นั้นเอง
ในระหว่างที่ดูหนังเรื่องนี้อยู่นั้นแอบคิดไม่ได้ว่า ด้วยโครงเรื่องที่หนังเรื่องนี้มี Mood & Tone ของหนังน่าจะสามารถไปได้"สุด"กว่านี้ จากที่เห็น"ภาพ"ในบางจังหว่ะ(เช่นท่ายืนpost เท่ๆ ของน้องอแมนด้า)แล้วนึกถึงหนังที่มี"style"จัดๆ อย่าง Kick ass หรือ Watch man ขึ้นมาว่าอันที่จริง In time นี้ก็น่าจะไป"สุด"ได้แบบนั้นโดยที่ไม่น่าจะเสียอารมณ์หลักและน่าจะดู"แสบ"ขึ้นอีกไม่น้อยทีเดียว

อีกหนึ่งประเด็นคือเรื่องของอารมณ์ที่ดำเนินไปตามเรื่องราว ซึ่งขึ้นๆลงๆแบบไปไม่สุดอีกเช่นเดียวกัน คือรู้สึกได้ว่าจุดที่น่าจะเป็นจุด"พีค"ก็ไม่ได้นำพาอารมณ์ไปถึงระดับพีค ประเดี๋ยวก็ผ่อนอารมณ์ลงพอจะขึ้นอีกก็ไปไม่สุดแล้วก็ผ่อนลงอีก จนถึงตอนจบของเรื่องแล้วก็ยังไม่รู้สึกชัดเจนว่าตรงช่วงไหนมันคือจุดที่"พีค"สุดของเรื่องกันแน่ ผมไม่ได้หมายความว่าหนังดำเนินเรื่องไปแบบหน้าเบื่อแต่อย่างใดนะครับ นิยามแบบนี้แล้วกัน "ไม่ได้น่าเบื่อแต่ไปไม่สุด"

อีกอย่างที่ติดใจคือวิธีการใช้เวลาของพระเอกที่ดูจะเป็นประเภทสามล้อถูกหวยไปซะหน่อยอีหรอบนี้ต่อให้ไม่ถูกปล้นไปพ่อก็คงหมดตัวในเวลาอันสั้นอยู่ดีหล่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นโดยภาพรวมทั้งหมดแล้วตัวหนังได้ความน่าสนใจของเรื่อง"เวลา"มาช่วยอุ้มชูไว้ได้อย่างมากทีเดียว

ดังที่กล่าวไว้แล้วว่าเรื่องของ"เวลา"ซึ่งเป็นใจความหลักของหนังเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งจึงอยากจะกล่าวถึงมากสักหน่อย คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้เราต่างใช่ชีวิตไปกับการแสวงหาเงินกันทั้งนั้นเพราะเราใช้เงินไปแลกกับ"เกือบ"ทุกสิ่งทุกอย่างจนพูดเปรียบเปรยกันว่าเงินก็คือชีวิต แต่เงินก็ไม่ใช่ว่าจะซื้อทุกอย่างได้ ที่เห็นกันชัดๆคือคนเราเกิดมาทุกคนต้องตายไม่ว่าจะรวยหรือจน ฉนั้นต่อให้มีเงินล้นฟ้าสุดท้ายทุกคนก็เท่าเทียมกันในบทสรุปของชิวิต ปรัชญาหลายอย่างเกี่ยวกับ"เงิน"กับ"ชีวิต"จึงเกิดขึ้นมากมาย แต่ในIn time ปรัชญาทั้งหลายเหล่านั้นต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อคนไม่ได้ใช้เงินที่หมายถึงชีวิตแบบอ้อมๆอีกต่อไป แต่ใช้เวลา เวลาของชีวิต ทีนี้หล่ะเวลามันจึงเป็นทุกอย่างมากกว่าที่เงินเคยเป็น เวลาจึงมีอำนาจที่สมบูรณ์แบบที่สุด ผู้ที่มีอำนาจของเวลาอยู่ในมือจึงเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่าคนอื่นอย่างแท้จริง

แม้ในทีแรกดูเหมือนจะยุติธรรมดีที่ทุกคนมีเวลาเริ่มต้นเท่ากันหมดที่ 1 ปี แต่เมื่อชีวิตของชนชั้นที่ด้อยกว่า ถูกควบคุมแบบเบ็ดเสร็จจากผู้มีเวลามากกว่า มีอำนาจมากกว่า ก็ยิ่งแทบไม่มีวันจะโงหัวขึ้นมาได้ ความเหลือมลำ้ของสังคมก็ยิ่งมีมากขึ้นไปกว่าสังคมที่ใช้"เงิน"เสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อยิ่งรวย(เวลา)ก็ยิ่งอยู่ได้นาน มันก็ยิ่งรวยขึ้น รวยขึ้น คนที่จนก็มีแต่ต้องตายไปเรื่อยๆอยู่อย่างนั้น โดยที่หากลองมองกันจริงๆแล้ว ระบบเช่นนี้ก็เกิดขึ้นกับสังคมที่ใช้"เงิน"ของเราอยู่ทุกวันนี้เช่นกัน ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่หนีไม่พ้นการแก่งแย่งชิงดี และหลงไหลในอำนาจไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด ซึ่งยากที่จะแก้ไข ดั่งที่ในหนังพูดไว้ว่าถึงแม้ว่า "วิล"จะทำลายระบบด้วยการปล้น"เวลา"มหาศาลไปแจกจ่ายให้คนจนๆ แต่เพียงแค่ 1 หรือ 2 ชั่วอายุคนความเหลือมลำ้ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมเพราะ"สันดาน"ที่ไม่เคยเปลี่ยนของมนุษย์เรานั้นเอง

สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชมคือคนเขียนบท(ซึ่งก็คือผู้กำกับนั้นแหละ พี่แกควบ กำกับ เขียนบท โปรดิวซ์เองครบ)ดูจะทำการบ้านกับสังคมที่"ใช้เวลา"มาพอสมควร เพราะรายละเอียดปลีกย่อยหลายอย่างถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างมีเหตุมีผล ดูน่าจะเป็นจริงเช่นนั้นหากมีสังคมเช่นนี้อยู่จริงๆ ยกตัวอย่างเช่น มีแต่คนจนเท่านั้นที่จะวิ่งหรือทำอะไรเร็วๆ เพราะคนที่รำ่รวยเวลาจะรีบไปเพื่ออะไร ในขณะที่คนจนต้องแข่งกับเวลาแทบทุกวินาทีที่นับถอยหลังไปเรื่อยๆ หรือตำรวจที่จะไม่พกเวลาติดตัวมากเพราะจะล่อใจให้โดนปล้นเวลาได้ หรือแม้แต่"ซิลเวีย"ที่มีเวลาเหลือเฟือมากจนไม่รู้สึกถึงความหมายของชีวิต ลักษณะเหล่านี้ล้วนช่วยเสริมความ"น่าเชื่อ" ให้กับสังคมที่"ใช้เวลา"ได้เป็นอย่างดี (มีตอนหนึ่งจากในหนังที่สะกิดใจผมคือ ตอนที่ซิลเวียบอกว่าชั้นไม่เคยต้องมีเวลาเหลือน้อยแบบนี้มาก่อน ชั้นไม่รู้จะต้องทำยังไง แล้ววิลได้ตอบว่า "ก็ไม่ยากหรอก แค่ต้องตื่นนอนให้มันเช้าๆหน่อยก็เท่านั้นแหละ" แหมมันจี๊ด)

สุดท้ายนี้หนังเรื่องนี้ทำให้คิดถึงแนวคิดหนึ่งขึ้นมาคือ ในสังคมที่"ใช้เงิน"ของเรานี้ทุกคนรู้ดีว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่าจึงไม่ควรใช้ชีวิตโดยที่ปล่อยเวลาให้ศูนย์เปล่า แต่สำหรับผู้คนที่ต้องดิ้นรนหาเวลามาเติมต่อชีวิตของตัวเองในหนังเรื่องนี้ ดูไม่น่าจะเป็นการใช้ชีวิตที่เรียกว่า"ไม่ปล่อยเวลาให้ศูนย์เปล่า"ได้ เพราะหากลองคิดดูแล้วก็เหมือนทุกวันใช้ชีวิตเพื่อให้มีเวลาในวันพรุ่งนี้ แล้ววันพรุ่งนี้ก็ใช้ชีวิตเพื่อให้มีเวลาในวันต่อไป แล้วก็ต่อไป ต่อไป แช่นนี้เรื่อยๆจนกว่าจะมีวันใดที่เกิดเหตุการณ์อะไรซักอย่างขึ้นแล้วก็ตายไป (เช่นจู่ๆรถเมล์ขึ้นราคา) ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาใช้ชีวิตให้สมกับที่เป็นชีวิตแต่อย่างใด

หันกลับมามองที่ตัวเราเองในทุกวันนี้ เราต่างก็ดิ้นรนหาเงินเพื่อมีชีวิตต่อไปเช่นกันแต่สิ่งที่ต่างกันคือ เราจะไม่ตาย(ทันที)หากเราหยุดหาเงิน กระนั้นแล้วในบางจังหวะเวลาก็อย่าใด้ลืม"ใช้ชีวิต"ใช้สมกับที่เป็นชีวิตกันเถิด ส่วนจะใช้อย่างไรนั้นก็สุดแท้แต่ แนวทางใครแนวทางมัน.....