Thursday, August 30, 2012

บทความ : ออกเดินทาง


          เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมามีโอกาสที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งเข้ามาในชิวิตผม ซึ่งตัวผมเองไม่แน่ใจนักว่าโอกาสลักษณะที่ว่านี่ จะถือว่ายิ่งใหญ่สำหรับทุกคนหรือไม่เพราะอันที่จริงแล้วมันอาจเป็นเรื่องสุดแสนธรรมดาของใครหลายๆคน แต่มันเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับผมอย่างแท้จริง และมันก็ได้มอบประสบการณ์ที่มีผลเป็นอย่างมากต่อชีวิตของผมเลยทีเดียว โอกาสที่ว่านี่คือ "ผมได้เดินทางไปต่างประเทศ"

อันที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิต ผมเคยไปต่างประเทศมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกผมมีโอกาสได้ไปทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทยเราครับ "สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว" คราวนั้นผมออกจากประเทศไทยที่จังหวัดหนองคาย เข้าสู่"เวียงจันท์" จากนั้นก็ทำงานล่องขึ้นทางเหนือไปเรื่อยๆจนไปสิ้นสุดที่"หลวงพระบาง" ขากลับก็นั่งรถตู้กลับกรุงเทพโดยแวะพัก 1 คืนที่เวียงจันทร์ ถึงแม้ว่าจุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนั้นคือการไปทำงาน แต่มันก็ยังทำให้ผมรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก  งานในคราวนั้นขึ้นแท่นเป็นงานที่สนุกที่สุดในชีวิตการทำงานของผมจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีงานใหนมาล้มแชมป์ลงได้ อีกทั้งประเทศ"สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว" ก็ยังเป็นประเทศที่น่ารักเป็นอย่างมากในความทรงจำของผมอีกด้วย

แต่เหนืออื่นใด สิ่งที่ประทับใจผมมากที่สุดคือ"การเดินทาง" เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมได้รู้ว่า การเดินทางมันช่างเป็นอะไรที่สุดแสนจะสนุก ตื่นแต้น และมีความสุขมากๆ แม้ว่าสถานที่ๆเดินทางไปนั้นมันจะไม่ได้ไกลอะไรมาก ผู้คนก็เหมือนๆคนบ้านเรา แต่กลับรู้สึกว่าความแตกต่างเพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น สามารถทำให้รู้สึกตื่นเต้น และก่อให้เกิดความอัศจรรย์ใจได้ไม่ใช่น้อย จนพามาซึ่งความสุขใจที่ได้มาพบเห็นด้วยตาของตัวเอง หลังจากกลับมาจากการเดินทางครั้งนั้น ผมก็มั่นใจว่าตัวเองเป็นคนที่ชื่นชอบหลงใหลการเดินทางคนหนึ่ง และมีความคิดว่าในชีวิตของผมต่อไปจากนี้ไปจะต้องหาเรื่องออกเดินทางอีกเยอะๆ ออกไปพบไปเห็นให้มากๆให้ทั่วๆที่สุดเท่าที่จะทำได้



การเดินทางไปต่างประเทศครั้งที่ 2 ของผม ไกลจากประเทศไทยออกไปอีกนิดหน่อย "เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน "(ชื่อยาวมากขอขอบคุณวิกิพีเดีย) อันที่จริงแล้วการเดินทางครั้งนี่ยังมีหลักใหญ่ใจความเป็นเรื่องงานเช่นเดียวกันกับครั้งแรก แต่หากจะพูดให้พอนึกภาพออกก็เอาเป็นว่า ผมได้รับมอบหมายจากที่ทำงาน(ที่น่ารัก)ให้เป็นผู้ส่งพัสดุไปยังฮ่องกงโดยที่ ที่ทำงาน(ที่น่ารัก)จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินไป-กลับ(ของตัวผมเองบวกผู้ติดตามอีก1ท่านด้วย น่ารักไหมเล่า)พร้อมกับที่พัก 1 คืน โดยเมื่อผมทำหน้าที่ส่งพัสดุเรียบร้อยแล้ว(ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่ต้องจัดการปฏิบัติทันทีเมื่อไปถึง) ช่วงเวลาที่เหลือจนกว่าจะถึงเวลากลับ คือประมาณ 2 ทุ่มของอีกวัน(รวมแล้วมีเวลาประมาณ1วันครึ่ง)นั้นเป็นอิสระของผมที่จะเที่ยวไปดู,ไปทำอะไรก็ได้ตามแต่ที่อยากไป ถึงแม้ครั้งนี้จะเป็นการเดินทางที่มีเวลาเพียงสั้นๆแค่ไม่ถึง 2 วันดี แต่ความประทับใจก็ยังเต็มเปี่ยมไม่ต่างจากครั้งแรกแต่อย่างใด

การเดินทางหนนี้"ความแตกต่าง"ของสิ่งที่พบเห็นมีมากขึ้น ความแตกต่างในที่นี้ของผมหมายถึงความแตกต่างระหว่างสถานที่นั้นๆกับชีวิตปกติประจำวัน โดยครอบคลุมไปทุกอย่างทั้ง ผู้คน ภาษา สิ่งแวดล้อม อากาศ กิจวัตรความเป็นอยู่ เหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งพอความแตกต่างมีมากขึ้น มันก็คือความแปลกใหม่ที่ได้พบ ความตื่นเต้นก็มีมากขึ้นตามไป ตอกย้ำความรื่นรมย์ของการออกไปท่องเที่ยวเข้าไปอีก การเดินทาง 2 ครั้งที่ผ่านมาต่างก็สร้างความประทับใจให้ได้เก็บไว้ในความทรงจำด้วยกันทั้งนั้น พาให้วาดฝันว่าจะเป็นอย่างไรถ้าได้ไปในที่ที่มันแตกต่างมากกว่านี้ แปลกใหม่มากกว่านี้ และยังมั่นใจได้ว่าการเดินทางทุกๆครั้งต่อไปในชีวิตจะต้องเกิดความทรงจำที่น่าประทับใจขึ้นอย่างแน่นอน




          และแล้วการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ขึ้นก็ได้มาถึง คราวนี้สถานที่ๆจะไปมันไกลกว่าที่เคยมาก แถมมีระยะเวลาที่ยาวนานได้ใจเมื่อเทียบกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา จุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้คือการไปร่วมในงานรับประกาศษณียบัตรสำเร็จการศึกษาของพี่ชาย(ลูกพี่ลูกน้อง)ของผม ณ ประเทศเยอรมันนีโดยจะถือโอกาสไปเยี่ยมบรรดาญาติๆที่นั้นและเที่ยวไปด้วยในตัว โดยมีกำหนดเวลาเกือบ 1 เดือนเต็มๆสำหรับการเดินทางครั้งนี้ แถมยังจะได้เดินทางไปเที่ยวที่ประเทศใกล้เคียงอย่างฝรั่งเศษอีกด้วย  เกือบ1เดือนเต็มในยุโรปที่ซึ่งไกลจากบ้านเป็นซีกโลก เวลาต่างกัน 5 ชม สิ่งที่ผมจะได้ไปพบเจอ ความแตกต่างที่ผมจะได้สัมผัส ความแปลกใหม่ที่รออยู่เป็นภูเขาเลากา สำหรับผมแล้วนี่เป็นโอกาสและเป็นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ไปเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเก็บกระเป๋าซะด้วยซ้ำไป



          ในเวลาที่คนเราได้ออกเดินทางไปจากชีวิตประจำวันของตนเองในแต่ละครั้ง ผมคิดว่า ณ เวลานั้นเราได้เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ได้ถึงขนาดแตกต่างเป็นบุคลิกภาพที่ 2 หรืออะไรเหมือนในหนังในนิยาย แต่เป็นอีกคนที่เราไม่ได้เป็น เวลาที่อยู่ในชีวิตปกติประจำวันทั่วๆไป ฟังดูแปลกและเกินจริงใช่ไหมครับ ผมจะลองขยายความดูอย่างนี้แล้วกัน

คนเราเกิดและเติบโตขึ้นมาด้วยการเรียนรู้ ซึมซับหล่อหลอมขึ้นมาเป็นลักษณะนิสัยใจคอ ความคิด,การแก้ปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่าง เราได้มาจากผลลัพธ์ของการเรียนรู้ต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ในช่วงเริ่มต้นเราเรียนสิ่งหลักๆสำหรับชีวิต เช่น การพูด การเดิน การวิ่ง การกินอาหาร อาบน้ำแต่งตัว เราเรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้ในตอนที่เรายังเด็กกันมาก สิ่งที่เราพลาดไปคือเราไม่สามารถ"จดจำ"ได้ว่าตัวเองตื่นเต้นแค่ไหนตอนที่เปล่งเสียงคำแรกออกมาเป็นภาษาคนได้หลังจากพยายามมานานก็ได้แต่อ้อเอ้ๆ หรือเรากลัวจับใจแค่ไหนกว่าจะกล้าทำตัวตรงๆแล้วก้าวเท้าเดินออกไป หลังจากที่คลานอย่างมั่นคงมานาน เราไม่สามารถจดจำความรู้สึกเหล่านั้นได้

และเมื่อเราเริ่มจดจำความได้ โลกก็ช่างเต็มไปด้วยสิ่งที่ตื่นเต้น ขี่จักรยานครั้งแรก ว่ายน้ำครั้งแรก ไปโรงเรียนครั้งแรก ขึ้นรถเมล์คนเดียวครั้งแรก ทั้งหมดถูกเก็บไว้เป็นความทรงจำของเรา จากนั้นพอเราเรียนรู้สิ่งที่สำคัญในการใช้ชีวิตมาหมดแล้ว เราก็นำมันมาใช้ชีวิตไปในแต่ละวัน มันเหมือนกับเราเปิดใช้งานตัวตนแห่งการดำเนินชีวิตอย่างเต็มที่ แล้วเราก็หรี่ตัวตนแห่งการเรียนรู้ของเราลง เราไม่ได้ปิดซะทีเดียวเพราะแน่นอนว่าชีวิตยังมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นต่อไป ถูกต้องที่ชีวิตเราต้องพบกับการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ ทุกครั้งที่สิ่งใหม่เกิดขึ้นเราก็จะเร่งตัวตนของการเรียนรู้ขึ้นมาใช้งาน แต่ลองนึกดูว่าเราจำได้หรือไม่ว่าตัวตนแห่งการเรียนรู้ของเรานี่นี้เร่งได้แรงสุดแค่ไหน และมันจะรู้สึกอย่างไร

และเมื่อเราออกเดินทาง ออกไปจากชีวิตประจำวัน ออกไปจากสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย นั่นมันก็คือเวลาที่ระบบตัวตนของเราทั้ง 2 ระบบนี้ถูกกลับค่ากันอย่างชัดเจน เราต้องเปิดตัวตนแห่งการเรียนรู้อย่างเต็มที่ แล้วยิ่งสิ่งที่พบเจอมันมีความแตกต่างแค่ไหน มันก็ยิ่งเหมือนกลับไปเรียนรู้ใหม่หมด สิ่งที่เคยเรียนรู้มา เคยทำมามันใช้ไม่ได้ ไอ้ภาษาคนที่เคยพูดได้มันไม่มีใครเข้าใจอีกต่อไป อาหารที่เคยทานไม่มีให้ทาน มันเหมือนเรากลับไปในตอนที่กำลังเรียนรู้สิ่งต่างๆเพื่อจะใช้ชีวิตให้ได้อีกครั้งหนึ่ง เรียนรู้สิ่งหลักๆในชีวิตอีกครั้งในแบบที่ต่างออกไป แต่คราวนี้เราจะสามารถจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเอาไว้ได้ ซึ่งตัวตนแห่งการเรียนรู้แบบเปิดเต็มที่นี้แหละ ที่ผมบอกว่าเป็นเหมือนเราอีกคนหนึ่งที่อยู่ในตัวของเราเอง


นอกจากนี้การเดินทางนั้น มักจะทำให้เราได้พบกับคำตอบของหลายอย่างที่เราเคยสงสัย หรือแม้แต่บางอย่างที่เราอาจไม่เคยนึกสงสัย แต่เราก็อาจจะค้นพบได้จากการเดินทาง จริงอยู่ว่าเราสามารถค้นพบคำตอบของสิ่งต่างๆได้โดยไม่ต้องเดินทางไปไหน ยิ่งในสมัยปัจจุบันนี้ด้วยแล้ว เพียงแต่เราอาจจะไม่สามารถ"เข้าใจ"และ"รู้สึก"ถึงเหตุและผลนั้นได้ หรือถึงแม้จะได้ แต่น้ำหนักของมันจะเทียบไม่ได้กับการที่ได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ผมเคยสงสัยว่าทำไม่ฝรั่งถึงชอบนอนอาบแดด (ฝรั่งในที่นี้ของผมหมายถึงชาวต่างชาติที่มีผิวสีขาวโดยครอบคลุมทั้งชาวยุโรป อเมริกา รัซเซีย ออสเตเรีย ฯลฯตามที่คนไทยเรานิยมเรียก เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ และขอให้เข้าใจไปในทางเดียวกันตามนี้นะครับ) และคำตอบที่รับรู้จากการบอกเล่าก็คือ เพราะบ้านเมืองเค้าเป็นเมืองหนาวไม่ค่อยมีแดดอย่างบ้านเรา เค้าจึงไม่ค่อยได้มีโอกาสรับวิตามินจากแสงแดด นั่นเป็นคำตอบสำหรับข้อสงสัยเรื่องฝรั่งอาบแดดที่ประทับลงในความรู้ความเข้าใจของตัวเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คำตอบนั้นมันไม่ได้ผิดครับ แต่มัน"ไม่สุด"

จนถึงวันที่ผมได้ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมของฝรั่งเค้าจริงๆ ผมได้สัมผัสรับรู้ว่าเวลาอากาศหนาว ลมเย็น ของที่นั้นมันเป็นอย่างไร หนาวแค่ไหน (ถึงแม้ว่าช่วงที่ผมเดินทางไปจะตรงกับหน้าร้อนแต่ก็ยังมีบางช่วงที่อากาศเย็นสำหรับผมอยู่ดี) นอกจากนั้นอากาศยังชื้นๆแบบชนิดที่ไม่สามารถทำให้ผ้าที่ซักและตากไว้แห้งสนิทได้ วันไหนที่แดดออก(ซึ่งไม่ได้ออกทุกวัน)ผู้คนก็พากันออกจากบ้านมานั่งๆนอนๆกลางแดดตามสวน,ตามสนามหญ้า,ตามสถานที่กลางแจ้งต่างๆกันเต็มไปหมด เพราะเวลาได้ไปอยู่กลางแดดมันช่างรู้สึกอบอุ่นสบายเสียเหลือเกิน สำหรับฝรั่งความสบายมันเป็น"อบอุ่นสบาย"ครับ ของบ้านเราเป็น "เย็นสบาย" และหากไม่ได้ไปสัมผัสเองผมก็คงนึกไม่ออกหรอกครับว่า อบอุ่นมันจะสบายได้อย่างไร สบายได้ถึงแค่ไหน เพราะที่นั่นเวลานั้น ผมเองก็วิ่งเข้าหาแดดไปกับเค้าด้วยเช่นกันครับ


สิ่งที่ค้นพบนอกเหนือไปจากนั้นก็คือ แดดที่นั้นไม่ได้มีความแรงเท่าแดดบ้านเรา วันหนึ่งผมมีความจำเป็นต้องไปเข้าคิวเพื่อชมสถานที่ท่องเที่ยวสถานที่หนึ่งใน"ปารีส" ซึ่งวันนั้นมีคนเข้าชมเยอะมากและผมต้องยืนอยู่กลางแดดเป็นเวลา 2 ชั่วโมงกว่า หากเป็นบ้านเราเรื่องที่ตัวจะดำขึ้นนี่ไม่ต้องพูดถึง แถมผิวคงจะมีการไหม้เกิดขึ้นบ้างอย่างแน่นอน แต่ผลปรากฏว่าการยืนตากแดดครั้งนั้นแทบไม่มีผลใดๆต่อผมเลยสักนิด ซึ่งผมคาดเดาว่าคงเป็นเพราะบ้านเราอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร ดวงอาทิตย์คงอยู่ใกล้กว่า แผ่รังสีอมาได้มากกว่าที่ยุโรปนี้ เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อว่ามันจะส่งผลต่างกันขนาดนี้ทั้งๆที่อยู่บนโลกกลมๆดวงเดียวกันนี่เอง เรื่องที่ยกมานี่คือตัวอย่างของคำตอบที่ได้จากการเดินทาง เป็นคำตอบที่เราประทับมันไว้ด้วยความเข้าใจ จากการพบเจอด้วยตัวของเราเอง ซึ่งมันมีน้ำหนักมากกว่าจากคำบอกเล่ามากนัก การเดินทางในครั้งนี้ให้คำตอบประเภทที่คล้ายๆกันอย่างนี้ให้แก่ผมอีกหลายต่อหลายเรื่อง การพบเจอคำตอบเหล่านี้เป็นความสนุกสนานอย่างหนึ่งเมื่อเราคอยมองหามันในแต่ละครั้งที่เราออกเดินทาง



          ส่วนตัวผมเองแล้วคิดว่า การเดินทางนั้นเป็นเหมือนกับกำไรของชีวิต คือเราสามารถไม่มีมันก็ได้ ถึงแม้เราจะไม่ต้องเดินทางไปไหนเลยก็ยังสามารถใช้ชีวิตไปได้อย่างไม่เดือดร้อนอะไร แต่เมื่อเราได้ออกเดินทางไป เราจะได้ไปพบกับสิ่งที่นอกเหนือจากชีวิตของเราเอง นั้นคือชีวิตของคนอื่น ผู้คนที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาในแบบที่ไม่เหมือนกับเรา ดำเนินชีวิตผ่านปัจจัยรอบตัวที่ต่างจากเรา และเราจะได้ทดลองดำเนินชีวิตแบบคนอื่นในช่วงเวลาสั้นๆที่เราเดินทาง เป็นการออกไปรับรู้ชีวิตแบบอื่นผมถึงคิดว่ามันเป็นกำไรของชีวิต

แน่นอนว่าการจะออกเดินทางไปหากำไรชีวิตในแต่ละครั้ง มันไม่ได้ไปกันง่ายดายเช่นนั้น ทั้งเรื่องปัจจัยเงินทอง ทั้งเรื่องเวลาโอกาส ภาษา วีซ่า และเรื่องอื่นๆอีกมากมายหลายหลากเหลือเกิน ที่เป็นอุปสรรคขวางทางเราอยู่ แต่อย่างหนึ่งที่ผมอยากจะยืนยันคือ ผลตอบแทนที่จะได้มามันคุ้มค่าแน่นอนกับการที่เราจะสู้เพื่อให้ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายเหล่านั้นและได้ออกเดินทางไป ตราบใดที่เราไม่นำอุปสรรคเหล่านั้นมาใช้เป็นข้ออ้างให้กับตัวเองไปเสียก่อน


สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ผมอยากจะเล่าคือข้อดีทั้งหลายทั้งปวงของการเดินทางที่ได้กล่าวมา มันเป็นสิ่งที่เราจะไม่สามารถรับรู้หรือรู้สึกได้เลยถ้าเราไม่ได้ออกไปเจอด้วยตัวของเราเอง ที่กล้าบอกเช่นนี้เพราะผมได้เรียนรู้มันจากตัวเอง ตัวผมนั้นมีคนใกล้ตัวคนหนึ่งซึ่งเธอได้เคยออกเดินทางไปก่อนผม และได้กลับมาพร้อมกับบรรดารูปถ่าย คำบอกเล่าเรื่องราว ความรู้สึก ความนึกคิด รวมถึงผลลัพธ์ของสิ่งต่างๆที่ได้รับมาจากการเดินทาง ในตอนนั้นตัวผมเองก็มีความตื่นเต้นร่วมไปกับเธอด้วย และรับฟัง,รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอนำมาถ่ายทอดให้ โดยที่คิดว่าเข้าใจมัน แต่เมื่อผมได้ออกเดินทางไปด้วยตัวเองแล้ว ถึงได้รู้ว่านั้นมันไม่สามารถเรียกได้ว่าความเข้าใจเลยสักนิด มันเป็นแค่เรื่องที่เรารับรู้เพียงเท่านั้น เรื่องราวที่ผ่านการสังเคราะห์โดยตัวเราเองนั้นมันถึงจะมีน้ำหนักของความเข้าใจอยู่จริงๆ ดังนั้นเชื่อผมเถอะครับเมื่อใดที่คุณออกเดินทางไปด้วยตัวเอง คุณจะเข้าใจได้ในสิ่งที่คุณเคยรับรู้ และคุณจะรู้สึกได้ในสิ่งที่คุณเคยเข้าใจ



 
          อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับว่าการเดินทางที่ผมพูดมาตั้งแต่ต้นนี่ มันจะต้องเป็นการเดินทางไปไกลๆ ไปต่างจังหวัด ต่างประเทศเพียงเท่านั้น ผมให้ความสำคัญกับตรงที่ว่ามันเป็นการเดินทางที่ต่างออกไปจากชีวิตปกติประจำวัน เป็นการออกไปใช้ตัวตนแห่งการเรียนรู้ของเรา เพราะฉนั้นระยะทางมันจึงไม่ใช้สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่เราตีความว่าสิ่งที่แตกต่างจากการใช้ชีวิตปกติประจำวันของเราคืออะไร และเราเปิดตัวเองสำหรับการมองหาและเรียนรู้สิ่งต่างๆมากแค่ไหน เพราะฉนั้นมันอาจจะไม่ต้องออกไปไหนไกลๆก็เป็นได้ เพียงแค่ว่าระยะทางที่ไกลออกไปมันก็เพิ่มโอกาศที่เราจะพบเจอสิ่งที่แต่งต่างได้มากกว่า และมันก็จะสนุกตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้นเองครับ อย่างไรก็ตามสุดท้ายนี้ขอให้ทุกๆคนสนุกกับการออกเดินทางของตัวเองนะครับ..........


(สำหรับเรื่องราวของการเดินทางไปที่ประเทศเยอรมันและฝรั่งเศษของผม ผมได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่ก่อนไปว่าจะพยายามเรียบเรียงนำมาเขียนเป็นบทความให้ได้ คิดว่าวันใดวันหนึ่งจะต้องสำเร็จออกมาอย่างที่หวังไว้แน่นอนครับ เพียงแต่ยังไม่ทราบว่าเมื่อใดเท่านั้นเอง)

Wednesday, April 25, 2012

บทความ : ชีวิตโชกโชน

 
     ทิ้งให้บล็อกหยุดนิ่งอยู่นานมากทีเดียว แต่ก็ตามที่ได้ตั้งใจไว้ว่าจะไม่หยุดที่จะทำไม่หยุดที่จะเขียน ยังไงๆก็ต้องหาเรื่องหาราวมาเขียนต่อไป เพราะได้รับรู้ถึงประโยชน์แห่งการเขียนและการอ่านที่บังเกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างชัดเจน คือรู้สึกได้ว่าตัวเองสามารถนึกหา"คำ" หรือประโยคเพื่อจะนำมาใช้อธิบายสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้อย่างเหมาะสมและรวดเร็วขึ้น ทำให้คาดหวังว่าการฝึกเขียนฝึกเล่าต่อไปจะทำให้ตัวเองพัฒนาขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ซึ่งวิธีการนี้ผมไม่หวงแต่อย่างใดและยืนยันว่าเกิดผลจริงๆครับ สิ่งที่ตั้งใจอีกอย่างคือ จากนี้ต่อไปจะกลั่นกรองเขียนเรื่องราวให้หลากหลายขึ้นโดยไม่จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องราวของหนังหรือภาพยนต์เท่านั้น โดยจะพยายามจับหาเรื่องราวอะไรก็ตามที่คิดว่าน่าสนใจ หรือเรื่องราวที่อยากจะเขียนถึง และจะพยายามถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุด.....
 
.....หลังจากชั่งใจไปมาอยู่เล็กน้อย ว่าจะเขียนเรื่องอะไรดีและเรื่องไหนที่จะเขียนไปจนจบ,ไปจนรอดได้ ท้ายที่สุดชั่งออกมาเป็นเรื่องนี้ครับเรื่องที่ว่าด้วย "ชีวิตที่โชกโชน" ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ผมไม่ได้กำลังจะมาเล่าชีวิตที่โชกโชนของตัวเองหรือของใครๆ เพียงแต่กำลังจะอธิบายจากมุมมองของตัวเองต่อคำว่า "ชีวิตที่โชกโชน"ก็เพียงเท่านั้น โดยมีจุดประสงค์ว่าการมีชีวิตวิตที่โชกโชนเป็นสิ่งที่น่าสนใจ น่ามีไว้ครอบครอง โดยที่ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ได้มี"ชีวิตที่โชกโชน"แต่อย่างใด และก็กำลังพยายามจะมีชีวิตที่โชกโชนเป็นของตัวเองอยู่เช่นกันครับ
 
ขอขยายความสักหน่อยที่ผมออกตัวไว้ว่าชีวิตของตัวเอง"ไม่โชกโชน" เพราะอะไรถึงไม่โชกโชน แล้วที่โชกโชนหล่ะเป็นอย่างไร ใช้สิ่งใดมาวัด มาจำแนก ผมคิดว่าต้องใช้ตัวเองวัดครับ ชีวิตใครชีวิตมัน ทุกคนเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง ดังนั้นทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแต่งตั้งชีวิตตัวเองว่าจะเป็นชีวิตที่โชกโชนหรือไม่ ก็ย่อมได้ อย่าไปสนใจใครครับ และอย่าไปทักไปขวางใครเขาหากเขาจะมีชีวิตที่โชกโชน เพราะความโชกโชนไม่ใช่ทรัพยากรที่ต้องแบ่งบันกัน ความโชกโชนมีเพียงพอให้ทุกคน ต่อให้มนุษย์ทุกผู้ทุกคนบนโลกนี้มีชีวิตที่โชกโชนกันหมด โลกก็ไม่แตกครับ.....
 
  
.....คำถาม : เพราะอะไรถึงอยากมีชีวิตโชกโชน? ผมไม้ได้จะบอกว่าชีวิตทุกวันนี้ของผมไม่ดีนะครับ ผมมีความสุขดีและดีมากอยู่ทีเดียว ชีวิตของผมไม่ได้น่าเบื่อ ความอยากโชกโชนของผมนั้นมีเหตุผล คือคำว่า"โชก" มันเป็นอาการของอะไรที่มากๆ ที่ได้ยินบ่อยก็อย่างเช่น "เปียกโชก" คือมันเป็นอะไรที่มากกว่า"ชุ่ม" ขึ้นไปอีก ชีวิตจะโชกโชนได้มันน่าจะเป็นชีวิตที่ "เยอะ"คือ พบ เจอ ผ่าน มาเยอะ เริ่มฟังดูดีขึ้นมาแล้วใช้ไหมครับ ดันนั้นการอยากจะมีชีวิตโชกโชนของผมคือความอยากจะพบเจออะไรให้เยอะๆ อยากจะผ่านอะไรต่างๆนาๆให้มากเข้าไว้ เป็นความต้องการในด้านบวกนะครับ มิได้อยากจะไปโลดโผนโจนทะยานผ่านเหวผ่านหุบอะไรที่ไหนให้ชีวิตกร้าวเกร็งเผลเป็นเต็มตัวอะไรอย่างนั้นไม่ใช่นะครับ
 

ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยสอนผมไว้ว่า ถ้าเราอยากจะเล่าเรื่องให้ได้มากๆเราต้องมีเรื่องที่จะเล่าให้มากๆ เปรียบกับการทำกับข้าว ถ้าเราอยากจะทำกับข้าวให้ได้หลายๆเมนูเราก็ต้องมีวัตถุดิบในตู้กับข้าวให้เยอะๆ ถ้ามีไม่เยอะถึงแม้ว่าเราจะ"ทำกับข้าว" เก่งแค่ไหน เราก็จะทำกับข้าวแบบ"วนเวียน"อยู่ได้ไม่กี่อย่างจะจำเจซ้ำซาก ผมอยากให้ตู้กับข้าวผมโชกไปด้วยวัตถุดิบต่างๆ จนสามารถทำกับข้าวให้ได้มากๆหลากหลายรสชาติไม่มีจำเจน่าเบื่อ นอกจากนั้นผมยังไม่ได้อยากให้ตู้กับข้าวนี้มีแต่เฉพาะเรื่องราวของตัวเองเท่านั้น เพราะถือว่าการได้รับรู้รับฟัง เรื่องราวของคนอื่นถือเป็นกำไรสำหรับตัวเรา เพราะหนึ่งชีวิตของคนเราไม่ได้ยาวนานพอที่จะประสพพบเจอทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นถ้าใครที่เค้ามีเรื่องราวแบบที่เราไม่คุ้นไม่มี แล้วเค้ายินดีที่จะถ่ายถอดให้ ผมก็จะยินดีเป็นอย่างมากที่จะรับวัตถุดิบที่ไม่ต้องออกไปหาเองนี้เก็บไว้ในตู้ของผมไปด้วย
 

ในอีกแง่หนึ่งการที่ตั้งใจจะทำชีวิตให้โชกโชนนี้ยังเป็นการหนุนให้เราเปิดรับโอกาส เปิดรับอะไรใหม่ๆ รวมถึงอาจจะทำให้เรากล้าจะทำในสิ่งที่เราไม่กล้ามาก่อนอีกด้วย เพราะอย่างที่โบราณท่านว่าไว้ "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทำ" การเก็บเรื่องราวมาจากคนอื่นนั้นมันก็ดี แต่หากมีโอกาสที่เราจะได้สัมผัสเอง ได้รู้สึกเองก็ย่อมทำให้เรื่องราวนั้นถูกเก็บผ่านมุมมองของเราเอง ทำให้มันจริงสำหรับตัวเราเองมากกว่าอย่างแน่นอน และอีกครั้งครับที่ต้องขอบอกว่า กรุณาอย่าได้ตีความการ"เปิดโอกาส" นี้ไปใช้กับอะไรในด้านลบด้านไม่ดีเลยครับ ถึงแม่ว่าการจะวัดหรือตีความว่า สิ่งอันใดดี อันใดไม่ดี อะไรถูกอะไรผิดนั้นจะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และแปรผันไปได้ตามแต่ปัจจัยประกอบต่างๆมากมายก็ตามที เอาเป็นว่าเราถือว่าการอยากมี"ชีวิตที่โชกโชน" ของเราเป็น"ความหวังดี" ต่อชีวิตของตัวเอง หากสิ่งใดโอกาสใดที่จะเข้ามา แล้วเป็นสิ่งที่ขัดกับ"ความหวังดี" ต่อชีวิตตัวเอง เราก็ไม่ต้องไปเปิดให้มัน อย่างนี้ก็แล้วกันครับ.....

 
.....คำถาม : ทำอย่างไรให้มี "ชีวิตที่โชกโชน" สิ่งแรกเลยครับตั้งใจไว้ก่อนเลยว่าเรากำลังจะปั้นชีวิตให้โชกโชน ที่นี้พอเราตั้งใจอย่างนั้นได้แล้วก็จะทำให้เราเปิดเก็บสิ่งต่างๆรอบตัวที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดทุกเวลานาที เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเป็นราวอยู่ในตัวมันเองแทบทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเหตุการณ์พิเศษ เหตุการณ์หวือหวาพจญภัยอะไรทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองมันแบบไหน เก็บมันแบบไหน แม้แต่ตอนที่เราอยู่คนเดียวในที่ที่ไม่มีใครเลยด้วยซำ้ ถ้าเราอยากจะหาเรื่องหาราวมาเก็บไว้ซะอย่างทำไมมันจะไม่มีครับ ก็ถึงมันจะไม่มีใครเลยมันก็มีตัวเราเองอยู่ตั้ง 1 คน ก็หาเรื่องมันกับตัวเราเองนี่แหละมีเรื่องให้หาตั้งเยอะตั้งแยะไป เพราะฉนั้นพึงระลึกไว้เสมอว่า ไม่เคยมีใครคนไหนที่อยู่โดยไม่มี"ใคร" เลยจริงๆ เพราะถ้าเค้ายัง"อยู่" แสดงว่าอย่างน้อยก็มีตัวเค้าเองแล้ว 1 คน เอาไว้ผมจะขยายความถึงเรื่องนี้ในโอกาสอื่นอีกทีแล้วกันครับ มิเช่นนั้นจะเป็นการผิดประเด็นไปซะเปล่าๆ
 
จากย่อหน้าก่อนในเรื่องของการเก็บสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวให้เป็นเรื่องเป็นราวนั้น อาจจะยังฟังดูคลุมเครือไปซักหน่อยว่าจะนำมาใช้จริงอย่างไร วิธีที่ง่ายที่สุดน่าจะเริ่มจากการ"สังเกตและตั้งคำถาม" อธิบายให้ชัดคือ เมื่อเราเริ่มต้นมองและสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัว แน่นอนว่าเราจะเจอกับสิ่งที่เราไม่รู้ พอไม่รู้ก็ลองอยากรู้ดูครับ แล้วเราก็จะได้คำถามออกมา เมื่อได้คำถามแล้วเลือกดูว่าคำถามไหนที่มันน่าสนใจ น่าหาคำตอบ น่ารู้มากๆ ทีนี้แหละครับไอ้ตอนที่เราหาคำตอบนี่แหละไม่ว่าจะเจอหรือไม่เจอ หรือเป็นคำตอบที่ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง แต่ระหว่างที่เราหาคำตอบนี้เอง มันจะมีโอกาสเกิดเป็นเหตุการณ์ที่น่าเก็บน่าจดจำ มาเพิ่มความโชกให้ตู้กับข้าวของเราอย่างแน่นอน เห็นหรือยังครับว่าเราทำชีวิตให้โชกโชนได้ไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตแบบไหน มีกิจวัตรประจำวันอย่างไร อยู่ที่เราว่าจะตั้งใจปั้นชีวิตให้โชกโชนแค่ไหน ไม่จำเป็นที่ต้องเป็นนักพจญภัยอะไรที่ไหนเลย ปุถุชนทุกคนก็ทำได้ อย่าไปสร้างอุปสรรค อย่าไปจำกัดการโชกโชนของตัวเอง มองให้มันง่ายเข้าไว้ยากมากพอดีชีวิตหมดเวลาโชกโชนกันพอดี

 
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว มันย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน ถ้ามีโอกาสจะนำพาตัวเราออกไปหาความโชกโชนจากข้างนอก ข้างนอกบ้าน ข้างนอกชิวิตปกติสามัญของเราบ้าง เพราะว่ามันจะ"สนุก" กว่าครับ จะสนุกกว่าแน่นอน และอย่าได้มุ่งไปเพียงแต่ที่จุดหมาย อย่างสถานที่ที่เราจะไป หรือ กิจกรรมที่เราจะไปทำ เพราะอันที่จริงแล้ว "ระหว่างทาง" นั้นย่อมต้องมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งปัญหา อุปสรรคต่างๆ ทั้งดีทั้งร้าย เหล่านี้คือสิ่งที่ไม่ควรละทิ้งไปทั้งสิ้น ดีไม่ดีแล้วเรื่องราว"ระหว่างทาง"นี้อาจจะมีผลต่อความโชกโชนของเรามากซะกว่าจุดหมายปลายทางซะด้วยซ้ำไป.....
 
.....มีประเด็นหนึ่งที่ผมอยากจะขอกล่าวถึง เรียกให้ชัดแล้ว มันน่าจะเป็น "ข้อคิด" อย่างหนึ่งซึ่งตัวผมเองก็พึ่งรู้สึกและคิดได้เมื่อไม่นานมานี้ว่า อันที่จริงแล้วบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา แล้วเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก อย่างเช่นเราทำอะไรบางอย่างผิดพลาด หรือตกไปอยู่ในเหตุการณ์ที่เราต้องลำบากทุกข์ทน หรืออยู่ในสถานที่ รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่เราไม่ปรารถนา แน่นอนว่าในขณะที่เราเผชิญกับช่วงเวลาแบบนี้เราย่อมต้องรู้สึกไม่ชอบ ไม่ดี ไม่มีความสุขแน่นอน แต่พอเราได้ผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นๆมาได้แล้ว มันจะกลับกลายเป็น "ประสบการณ์" ที่ดีไห้แก่ตัวเรา ชีวิตเรา เป็นเหมือนว่าเราได้เรียนรู้ ได้ผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้ ทำให้เรารู้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น อะไรที่พลาดก็จะไม่พลาดอีก อะไรที่ผิดต่อไปก็ทำให้ถูก อะไรที่ทุกข์ก็ทำให้เวลาสุขก็สุขได้ยิ่งขึ้น ซึ่งก็ขอจำกัดความข้อคิดนี้ว่า "เหตุการณ์ที่เลวมักเป็นประสบการณ์ที่ดี"  มองในแง่ดีอีกอย่าง หากเราคิดไว้อย่างนี้แล้วระหว่างที่เราอยู่ในเหตุการณ์ที่เลวนั้นเราอาจจะรุ้สึกขุกข์น้อยลงได้บ้าง เพราะอย่างน้อยเราก็รู้ว่ามันจะกลายมาเป็นประสบการณ์ที่ดีให้กับเราในภายหลัง มันจะมาเพิ่มความโชกให้กับตู้กับข้าวของเราได้.....



 
.....มาถึงตรงนี้แล้วผมคิดว่าน่าจะทำให้ "การมีชีวิตที่โชกโชน" กลายเป็นสิ่งน่าสนใจขึ้นมาได้บ้างสำหรับท่านที่ได้อ่านบทความนี้ อันที่จริงแล้วแรงบันดาลใจให้ผมเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาจากประโยคที่หลายคนมักพูดว่า "รู้สึกว่าได้ปล่อยเวลาของชีวิตให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์" "มัวแต่ไปเรียน" "มัวแต่ไปทำงานที่นั้นที่นี่" "มัวแต่ไปคบกับคนนั้นคนนี้" "มัวแต่ไปทำแบบนั้นแบบนี้" เปล่าประโยชน์ เสียดายเวลา อย่าเลยครับอย่าไปคิดแบบนั้นเลย เพราะอย่างไรก็ดี เวลาเหล่านั้นมันได้ผ่านไปแล้วเราไม่สามารถจับต้องทำอะไรกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วได้ ในขณะเดียวกันทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเคยเกิดขึ้นมันก็คือเหตุการณ์ เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมีความหมายไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าเรามองมันอย่างไร กลั่นกรองมันอย่างไร เก็บรักษามันไว้อย่างไร ไม่แน่ว่าบางทีเราอาจจะมีชีวิตที่โชกโชนไปแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัวก็เป็นได้ อย่าลืมครับว่า ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา แล้วไม่มีคุณค่าไม่มีความหมาย เพราะยังไงมันก็คือชีวิตเรา อย่างไรแล้วมันย่อมต้องมีความหมายต่อตัวเราเองอย่างแน่นอน.....