Thursday, June 30, 2011

TRANSFORMERS : DARK OF THE MOON



..........เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าหลังจาก Transformers2 ออกฉาย ถึงแม้ว่าตัวหนังจะทำรายได้ถล่มทลายตามความคาดหวังของสตูดิโอผู้สร้างอย่าง พาราเมาท์ แต่นั้นก็ไม่ใช่อย่างเดียวที่ถล่มใส่พวกเขา เพราะทั้งคนดูและแน่นอน เหล่านักวิจารณ์ทั้งหลาย ก็พากัน "ถ่ม" คำวิจารณ์ในทางลบออกมาอย่างหนักหน่วง (นักวิจารณ์ท่านหนึ่งถึงกับบอกว่า "สู้คุณปล่อยลูกๆเข้าไปในครัว เปิดเพลงให้ดังๆจากนั้นบอกให้เด็กๆกระหนำ่ตีหม้อตีไห แล้วหลับตาจินตนาการเอา ยังจะดีกว่าไปดูหนังอีก) ยังไม่พอแค่นั้น หนังยังถูกยัดเยียดทั้งรางวัลหนังยอดแย่ บทภาพยนตร์ยอดแย่ และผู้กำกับยอดแย่ ให้อีกต่างหาก ไหนจะข่าวคราวปัญหาไม่ลงรอยกันระหว่างแม่สาว(ที่ผมยืนยันว่าไม่ใช่เพราะเธอหรอกนะ ผมถึงไปดูหนังเรื่องนั้น จริงๆ) อย่างเมเกน ฟอกซ์ กับ ผกก. ไมเคิล เบย์ ถึงขั้นลั่นวาจาไม่ขอร่วมงานกันอีกต่อไป สิริรวมแล้วก็เรียกได้ว่าเจ็บหนักแทบไม่ได้เกิดกันเลยทีเดียว แต่!! จากไอ้สิ่งแรกที่ถล่มใส่พวกเขาตามที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้นก็ไม่ใช่น้อยแพราะฉะนั้น "ไฟท์ล้างตาของ" ไมเคิล เบย์ นี้จึงเกิดขึ้นมาได้ไม่ยาก


..........โบราณท่านว่า คนดีย่อมแก้ไข(ที่เหลือละไว้นะครับ) และแน่นอนว่าจากที่ทำคะแนนตกไปเยอะมาก เฮีย ไมเคิล เบย์ แกก็ไม่ได้ทำเนียนๆ ไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็เข็นภาค 3 ออกมาเฉยๆ แต่ได้ออกมายอมรับว่าหนังภาค 2 มันห่วยจริงอย่างที่โดนสับ ซึ่งก็ไม่บ่อยนักที่ไม้เบื่อไม้เมากับพวกนักวิจารณ์อย่างเบย์จะยอมจำนน โดยเขาได้ชี้แจงว่า หลังจากภาคแรกประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้ถูกเร่งให้ทำภาคต่อออกมาเร็วเกินไป ประจวบกับในตอนนั้นเกิดเหตุการณ์ประท้วงหยุดงานของสมาคมคนเขียนบทขึ่้นอีก กว่าการประท้วงจะจบลง เลยมีเวลาสำหรับการเขียนและพัฒนาบทแค่เพียง 3 เดือนเท่านั้น ทำให้มีปัญหาออกอ่าว ออกทะเล(ทราย) อย่างที่เห็น ดังนั้นในภาค 3 นี้ เบย์ จึงให้ความสำคัญ ดูแลประคบประหงม ทำงานร่วมกับคนเขียนบทอย่างใกล้ชิด และยืนยันว่าจะไม่ยอมให้สิ่งที่ไม่เข้าท่าเข้าทางปรากฏในหนังอีกเด็ดขาด (อย่างเจ้าหุ่นพูดมากน่ารำคาญ2ตัวนั่น) และหนังจะต้องไม่มีทรายอีกต่อไป พร้อมกับพยายามจะนำสิ่ง(อารมณ์) ที่หายไปจากภาคแรกกลับคืนมา

อีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากกล่าวถึงก่อนที่จะเข้าเรื่องของตัวหนังคือ ระบบ 3 มิติครับ ไมเคิล เบย์ เป็นหนึ่งในผกก. หลายคนที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่หันหน้าเข้าสู่ระบบ 3 มิติเพราะความใหญ่เทอะทะของกล้อง 3 มิตินั้น ขัดกับสไตล์การทำงานของเขา แต่จนแล้วจนรอด จากการโน้มน้าวของเจ้าพ่อ 3 มิติอย่าง เจมส์ คาเมรอน ในที่สุดเบย์ก็ยอมทำหนังภาคนี้ออกมาในรูปแบบ 3 มิติ แถมยังถ่ายทำโดยใช้กล้อง 3 มิติจริงๆ ไม่ได้มาทำการคอนเวิร์ดที่หลังอีกต่างหาก โดยเบย์กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า คาเมรอนบอกกับเขาว่า ระบบ 3 มิติมันเป็นอะไรที่เหมาะกับเบย์มาก และปัญหาต่างๆมันได้ถูกแก้ไขไปหมดแล้ว บัดนี้มันเป็นเหมือนของเล่นใหม่ของเราที่มีอะไรให้ลองอีกมาก และเบย์ก็เห็นว่า เจมส์มีเครื่องไม้เครื่องมือรวมถึงบุคลากรที่พร้อมอยู่แล้ว เขาถึงได้ตกลงใจก้าวเข้าสู่โลก 3 มิติ แถมยัง "ออกตัวแรง" บอกกับพวกเราอีกว่า "เพราะเขาจงใจถ่ายเพื่อให้ออกมาเป็นหนัง 3 มิติ ดังนั้นควรไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้แบบ 3 มิติไม่ใช่ 2 มิติ" แหมเฮียก็ กลืนน้ำลายตัวเองซะอึกใหญ่เชียว ระวังสำลักเอาจะหาว่าไม่เตือน (ข้อมูลบางส่วนจากนิตยสาร FILMAX ประจำเดือน มิถุนายน)


..........ในภาค Dark of the moon นี้ เรื่องราวได้ถูกโยงไปผูกเอาตั้งแต่ตอนที่ นีล อาร์มสตรอง ลงเหยียบดวงจันทร์นู้นเลยทีเดียว โดยที่เล่าว่า อันที่จริงแล้ว ที่ยานอพอลโล่ 11 ถูกส่งไปยังดวงจันทร์นั้น มีภารกิจเบื้องหลังอีกอย่างคือ การสำรวจบริเวณด้านหลังของดวงจันทร์ ซึ่งถูกตรวจพบตั้งแต่ก่อนอพอลโลจะพร้อมเดินทาง ว่ามีวัตถุขนาดใหญ่บางอย่างตกลงมาในบริเวณนั้น โดยหารู้ไม่ว่า ทั้งหมดเป็นแผนการของดีเซปติคอน ซึ่งได้วางเอาไว้นานแล้ว นำพาให้หายนะใหญ่หลวงมาสู่โลก ซึ่งในส่วนของหายนะนี้ ก็เป็นที่ประหลาดใจของผมอย่างหนึ่ง เพราะไม่คิดว่าจะทำให้ออกมา "วายป่วง" ขนาดนี้ ประหนึ่งเป็นหนัง "Disaster" เลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ ก็นับว่าตัวหนังสามารถพาเราไปสู่ความรู้สึกหดหู่สิ้นหวังได้ไม่เลว โดยได้กำหนดให้มนุษย์ตัดสินใจเนรเทศเหล่าออโตบอตทั้งหมดออกไปจากโลก และเผชิญกับการรุกรานของกองทัพดีเซปติคอน (แบบเต็มอัตรา) ที่กำลังทำลายตึกรามบ้านเมือง ไล่ยิงคนซะกลายเป็นผุยผง และถึงแม้จะรู้ๆกันอยู่ว่า ยังไงออโตบอตก็ต้องกลับมาช่วยอยู่ดี

หนังก็ยังได้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เองก็ไม่ได้รอคอยความช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว สังเกตได้ว่าสิ่งที่หนังภาคนี้นำกลับมาคือมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ เรื่องราวของมนุษย์ การต่อสู้กับอุปสรรคของมนุษย์ ทำให้ผมนึกถึงอารมณ์ของหนังอย่าง ID4 ขึ้นมา อารมณ์ที่มนุษย์มาถึงคราวเคราะห์ แล้วทุกคนร่วมมือกันด้วยกำลังใจที่แสนจะหึกเหิมเพื่อช่วยกันปกป้องโลกเอาไว้ (ซึ่งส่วนตัวผมนิยมอารมณ์แบบนี้อยู่พอสมควร) ในภาคนี้มนุษย์แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะสู้กับหุ่นยนต์ แถมไม่ใช่ความพยายามโง่ๆ แบบที่ดูแล้วไม่เห็นว่าจะสู้ได้ตรงไหน เพราะหน่วยของเลนนอกซ์ดูเป็น "มืออาชีพ" ไม่น้อย อีกอย่างต้องยอมรับว่าฉากที่เหินฟ้าไปตามตึกนั้นมันดู "เจ๋ง" จริงๆ และจากที่ผ่านๆมา ยังไม่เคยเห็นมนุษย์ล้มหุ่นยนต์ได้ซักตัว ภาคนี้ก็ได้เห็นในที่สุด จากความร่วมมือกันและวิธีการที่ถูกคิดมาแล้วเป็นอย่างดี ในขณะเดียวกัน ทีม "รวมเพื่อน" ของแอปป์ (บวกกันลูกน้องผิวดำของเลนนอกซ์อีกคน) ก็เหมือนเป็นตัวแทนที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ที่จะต่อสู้กับภยันตราย

และที่สำคัญ ตัวละครของแซมเองก็ถูกวางปมที่น่าสนใจไว้ให้ คือ แม้ว่าแซมจะช่วยกู้โลกมาถึง 2 ครั้ง 2 ครา แต่ในปัจจุบันกลับไม่ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเท่าไหร่นัก ถูกกันออกจากเรื่องของพวกหุ่นยนต์ ให้เป็นเหมือนประชาชนธรรมดาแถมยังคงไม่มีงานทำ และหลายที่ที่ไปสัมภาษณ์ก็ไม่เห็นคุณค่าของเขา หรือแม้แต่เหรีญกล้าหาญซึ่งโอบาม่า!! มอบให้กับมือ สุดท้ายได้งานก็เป็นแค่คนเดินเอกสารภายในบริษัท ในขณะที่แฟนสาว (คนใหม่) ได้ทำงานกับเจ้านายรูปหล่อพ่อรวยใจกว้าง แถมมีท่าที "หมาหยอกไก่" กับแฟนของของเขาอีกต่างหาก ความกดดันของเขาค่อยๆ พอกพูนขึ้นมา จนในที่สุดก็ระเบิดออกมาแบบสติแตกสุดๆ ตอนที่เขาพยายามจะเข้าไปพบพวกออโตบอตในฐานทัพลับ แล้วทหารที่คุมบริเวณทางเข้าได้ปฏิบัติต่อเค้าแบบ "คนนอก" และขัดขวางไม่ให้เขาเข้าไป ในฉากนี้ทำให้มีความรู้สึกแบบ คนดี (ฮีโร่) ที่สังคมเมินขึ้นมา แต่แซมเองก็ไม่ได้ "งอน" หันหลังให้สังคมแต่อย่างใด ด้วยยังมีคนรักที่เข้าใจและพวกพ้องที่ยึดเหนี่ยวได้อยู่ ทำให้เขาไม่ท้อถอยที่จะสู้กับอุปสรรคที่กำลังเผชิญ

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือความเป็นมนุษย์ ซึ่งถึงแม้ว่า Transformers จะเป็นหนัง"หุ่นยนต์" แต่คนดูคือคน เรื่องของหุ่นยนต์จะเข้าถึงคนมากกว่าเรื่องของมนุษย์ได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น ในทางกลับกัน"หุ่นยนต์"ของหนังเรื่องนี้ เป็นจุดแข็งในตัวของมันเองอยู่แล้ว เป็นเหมือนอาวุธที่ทำให้ Transformers เหนือกว่าภาพยนตร์แอคชั่นเรื่องอื่นๆ ดังนั้นการใส่ใจไปที่เรื่องของมนุษย์ จึงน่าจะเป็นการแก้เกมส์ที่มาถูกทางของ ไมเคิล เบย์ และคนเขียนบทของเขา



..........ที่ผ่านมาหนังประเภทโลกถูกจู่โจมซะเละเทะยับเยินนั้น มีออกมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ต้องยอมรับว่าเมื่อมาอยู่ในมือของ ไมเคิล เบย์ มันช่างออกมา "ถึงเครื่อง" แซงหน้าเรื่องอื่นอย่างเห็นได้ชัด ฉากแอคชั่นทั้งหลายทำออกมาสุดมันส์ และสวยงามไปในขณะเดียวกัน ยิ่งเมื่อเบย์มาจับอาวุธใหม่ อย่าง 3D ด้วยแล้วยิ่งเหมือนยอดขุนศึกได้ม้าดียังไงยังงั้น (ผมตัดสินใจดู 3D เพราะเห็นว่ามันแพงขึ้นมาอีก 40 บาท พอสู้ไหวเลยขอลองของซักหน่อย) แต่ก็ยังไม่ได้สมบูรณ์แบบไปซะทั้งหมด สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่ามันเยอะไปนิด คือภาพระยะใกล้กล้อง ถ้าพูดกันแล้วในเบื้องต้น อาวุธของ 3D ก็คือความลึก ซึ่งปกติของการถ่ายหนัง(ส่วนใหญ่) ความลึกหรือระยะ จะถูกรักษาไว้เพื่อไม่ให้ภาพออกมาดูแบนอยู่แล้ว โดยวิธีการให้มีวัตถุในระยะใกล้กล้อง(จะเบลอๆเป็นส่วนใหญ่) เป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมใช้กัน แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเพราะมันเป็น 3D หรือเปล่าทำให้รู้สึกว่ามันมีบ่อยไปหน่อย (เรื่องแรกที่ผมดูแบบ 3D คือ Avatar ตอนนั้นรู้สึกจะไม่เยอะเท่านี้ เหมือนว่าจะไปลึกทางด้านหลังเสียมากกว่า) หรืออันที่จริงแล้ว อาจเป็นเพราะสายตาต้องคอยมาอ่านคำบรรยายทางด้านล่าง ซึ่งลอยออกมาอยู่ในระดับใกล้ด้วยเหมือนกัน เลยทำให้ไปรู้สึกถึงภาพระยะใกล้กล้องบ่อยเกินไปก็เป็นได้ ในด้านของข้อดี ภาพยนตร์ 3D หลายๆเรื่องมักจะมีฉากที่ "จงใจ" ให้มันทะลุจออยู่บ่อยๆ กรณีที่ง่อยที่สุดคือ ตัวละครสักตัวมองกล้องแล้วปาอะไรสักอย่างเข้ามาหากล้อง อะไรทำนองนั้น ซึ้งผมคิดว่าปัจจุบันนี้ 3D มันน่าจะเลยจุดที่จะมาโชว์อะไรกันโต้งๆแบบนั้นมาแล้ว แต่ความรู้สึกเหมือนว่า นั่งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศในหนังจริงๆน่าจะเข้าท่ามากกว่า ซึ่งผมรู้สึกถึงบรรยากาศนั้นได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ของเบย์ สิ่งที่เขาทำไม่ใช้การโยนอะไรสักอย่างใส่กล้อง แต่เป็นการเอาบรรยากาศบางอย่างออกมาจากภาพแบบเนียนๆ เบาๆ เช่นเศษเล็กเศษน้อยจากการระเบิดหรือประกายไฟ แสงแฟร์ของแดด ไปจนถึงกระดาษที่ปลิวว่อน (ซึ่งใช้หลายครั้งจนไม่แปลกใจที่มีดับเบิ้ล A เป็นสปอนเซอร์) ของชิ้นเล็กๆเหล่านี้พอมันดูลอยออกมาแล้ว มันทำให้รู้สึกเหมือนเราอยู่ท่ามกลางบรรยากาศในหนังได้เป็นอย่างดีทีเดียว รวมถึงในฉากแอคชั่นทั้งหลายซึ่ง 3D ถูกใช้มาช่วยเสริมให้ดู ยิ่งใหญ่สมจริงมากขึ้นไปอีกขั่นหนึ่ง เพราะฉนั้นก็นับว่าไม่เลวนะครับ ที่จะลองไปดูหนังเรื่องนี้กันแบบ 3D ซะหน่อย สำหรับผมคิดว่าคุ้มค่า กับราคาที่ต้องเสียเพิ่มครับ (เนื่องด้วยหนังมีความยาวประมาน 3 ชั่วโมง หลังจากดูจบจึงทิ้งอาการปวดตาไว้เล็กน้อยแต่ไม่น่าจะเป็นปัญหาถ้าได้พักตาสักหน่อยครับ) จากนี้ไปก็นับว่าน่าติดตามทีเดียวว่า ไมเคิล เบย์ จะไปต่อได้ไกลแค่ไหน กับระบบ 3D


..........ดังนั้นโดยรวมแล้วสำหรับผมคิดว่า Transformers ภาคนี้สามารถแก้ตัวได้ไม่เลวนะครับ ให้ความรู้สึกอิ่มเอมออกมาจากโรงหนังได้มากทีเดียว จะว่าไปแล้วก็ยังมีภาพยนตร์อีกตั้งหลายเรื่องนะครับ ที่บางภาคบางตอนเราอยากจะลืมๆไปซะ ว่ามันเคยเกิดขึ้นมา แต่สำหรับ Transformers2 ส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะลืมยากหน่อยครับ.. เปล่านะครับไม่ใช่อย่างที่คิดกันนะครับ ไม่ได้เป็นเพราะ เมแกน ฟอกซ์ หรอกครับ(จริงๆ).....

Saturday, June 25, 2011

GREEN LANTERN

ด้วยความที่ชื่นชอบเรื่องจำพวกซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีพลังวิเศษเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่มีภาพยนตร์แบบนี้เข้ามาไม่ว่าจะมาจากจักรวาลไหน(มาเวลหรือดีซี) ก็ตื่นเต้นและอยากจะไปดูทุกเรื่องไป ซึ่งก็ต้องถือว่าโชคดีมาก เพราะช่วงชีวิตที่ยังสามารถดูหนังได้จัดๆแบบในขณะนี้ (ช่วงยังเยาว์กว่านี้หากใช้ทุนทรัพย์จากบุพการีไปถลุงเข้าโรงหนังขนาดนี้ อาจถูกขี้เถ้ายัดปากเอาได้ และรุ่นพี่หลายคนเปรยให้ฟังบ่อยๆว่า ระยะหลังนี้ไม่ได้เข้าโรงหนังเลยบ้างหล่ะมีลูกมีเต้าแล้วได้ดูแต่การ์ตูนบ้างหละ)เป็นยุคที่เหล่าซุปเปอร์ฮีโร่พากันกระโดดออกมาจากหนังสือการ์ตูนเป็นทิวแถว แถมมีโปรเจคใหญ่ๆรอคอยให้ติดตามกันอีกมาก พาให้ชื่นหัวใจว่าจะได้สนุกกันไปอีกนานหล่ะครับ
พูดถึงเรื่องชื่นหัวใจแล้ว ก็อยากจะกล่าวสรรเสริญเหล่าผู้สร้างหนังทั้งหลายที่ช่างเข้าอกเข้าใจดีเสียเหลือเกิน ว่าเด็กผู้ชายนอกจากจะชอบซุปเปอร์ฮีโร่แล้วยังมีอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ ใช่แล้วครับเราขอขอบคุณตั้งแต่ที่คุณนำเมเกน ฟอกซ์ มาซ่อมรถ นำ นาตาลี พอต์แมน มาปิ๊งคนตัวใหญ่ถือค้อนแปลกๆ และนำ เบล้ค ไลฟลี่ มารวบผมใส่ชุดราตรีในหนังเรื่องนี้(แฟนๆน้องเบล้คห้ามพลาด)เราขอบคุณมากและขอให้รักษาความดีนี้ไว้ตลอดไปครับ
ในระยะหลังภาพยนต์แนวนี้มักจะโดนค่อนแคะในเรื่องความอ่อนของบทอยู่เสมอ แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็เช่นกัน ผมเองก็รู้สึกอย่างนั้นจนหลังๆก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าเป็นหนังประเภทนี้แล้ว ก็จะถือว่ามาดูเอาสนุกไป คิดว่าเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะการ์ตูนแต่ละเรื่องที่ถูกหยิบมาสร้างเป็นภาพยนต์ล้วนแล้วแต่มีอายุอานามกันไม่ใช่น้อย เรื่องราวเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก็มากมายพันเกี่ยวกันอีรุงตุงนังไปหมด จากการผ่านร้อนผ่านหนาว หนังสือถูกทำให้จบ ถูกปลุกให้ฟื้น ถูกพาไปรวมกันเรื่องนั้นเรื่องนี้กันวุ่นวาย ทำให้การจะประกอบร้อยเรียงขึ้นมาเล่าในลักษณะภาพยนตร์นั้น จึงยากในการเลือกว่าจะไปหยิบยกเอาจุดไหนช่วงไหน หรือจะเลือก"เชื่อ" เรื่องราวจากเล่มไหนดีทำให้ออกมาขาดๆเกินๆไปก็บ่อย และเนื่องด้วยเป็นการ์ตูน บางครั้งที่มาที่ไปหรือเหตุผลบางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมาตอนนั้นอาจจะแปร่งๆแปลกๆไปบ้าง พอนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ก็เกิดอาการเกรงใจต้นฉบับรวมถึงแฟนๆกันขึ้น จึงไม่กล้าเปลี่ยนหรือใส่อะไรเพิ่มลงไปมากมายก็เป็นได้ แต่ถึงกระนั้นก็ตามผมก็ยังไม่เชื่อว่าหนังซุปเปอร์ฮีโร่(จากหนังสือการ์ตูนหรือเกมส์)จะมีบทดีๆแน่นๆไม่ได้และจนกว่าหนังเรื่องนั้นจะมาถึงก็ขอดูเอาสนุกไปก่อนก็แล้วกันครับ
ว่าไปไกลทีเดียว กลับมาที่ฮีโร่ตะเกียงเขียวกันดีกว่า ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีสิ่งหนึ่งสะกิตใจผม คือในตอนที่ ฮาล จอร์แดน บอกกับเหล่าการ์เดี้ยนผู้สูงส่งว่าบนโลกมีคำหนึ่งคำที่ชอบพูดกันคือ "เราเป็นเพียงมนุษย์" ด้วยว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้น มนุษย์มิอาจบังคับหรือล่วงรู้ได้ จึงเจียมตัวว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเรามากนัก ทำให้เรายังมีความกลัวและเราก็ยอมรับว่าเรากลัวเพราะ"เราเป็นเพียงมนุษย์" สำหรับฮาลนั้นแหวนได้เลือกเขาเพราะเห็นบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ในตัวเขา ซึ่งเขาเองก็ยังไม่เห็นมันและในตอนแรกเขายังมีความกลัวอยู่ ซึ่งดูจากจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังฮาลทำเครื่องบินตก ที่หลานของเขาถามว่าเขากลัวหรือไม่และเขาได้ตอบว่า ตามหน้าที่แล้วเขากลัวไม่ได้ หรือเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับแครอล ซึ่งต้องจบลงไปทั้งๆที่ก็ดูว่าทั้งสองคนยังคงมีใจให้กันอยู่ โดยที่ตัวฮาลเองโทษในความเป็นคนไม่รับผิดชอบของตน แต่แท้จริงแล้วแครอลบอกว่ามันเป็นเพราะเค้ากลัวว่าจะรักเธอมากเกินไปกว่านี้ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าความกลัวของเขาคือกลัวที่จะยอมรับว่าตัวเองกลัวนั้นเอง และเมื่อเขายอมรับและหันหน้าเข้าสู้กับความกลัวนั้น จึงทำให้เกิดความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ซึ่งในหนังบอกว่าสิ่งนี้แหละคือพลังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ทำให้ผมคิดเห็นด้วยว่าในบางเวลาที่คนเรากลัวอะไรซักอย่าง แล้วเราเพิกเฉยกับความกลัวนั้นมันไม่เคยจะทำให้ความกลัวเหล่านั้นหายไปหรือแม้จะบรรเทาลงก็เพียงไม่นาน ซำ้ร้ายอาจยิ่งเป็นการพอกพูนความกลัวเหล่านั้นขึ้นอีกด้วยซ้ำ แต่หากเราหันหน้าเข้าเผชิญกับความกลัวนั้นๆ อาจจะทำให้เราเอาชนะมันได้ในที่สุดหรืออย่างน้อยก็เข้าใจมันยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่นเมื่อก่อนนี้คนเราอาจจะกลัวฟ้าผ่า กลัวเสียงที่แผดดังกึกก้อง กลัวแสงสว่างจ้า กลัวอานุภาพที่รุนแรงจนพื้นดินสะเทือนของมัน แต่เมื่อเราเผชิญกับมัน ค้นหา ศึกษามัน จนในที่สุดเราก็สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ และเกิดสายล่อฟ้าขึ้นมาในปัจจุบันเป็นต้น แสดงให้เห็นว่าถ้าเรากล้ายอมรับและเผชิญกับความกลัวก็อาจจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในตัวฮาลที่แหวนมองเห็น น่าจะเป็นจินตนาการแบบ"อาร์ทตัวพ่อ"ของเขาตอนเสกสิ่งต่างๆออกมาเวลาคับขันเสียมากกว่า อย่างเช่น ใส่ล้อ สร้างรางให้คอปเตอร์มั่งหล่ะ คนจะตกลงพื้นสร้างนำ้มารับบ้างหล่ะ(ผมคิดได้แค่เบาะเอง) จิตนาการเฮียสูงส่งมากๆขอคาราวะ
มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากกล่าวถึงคือ อันที่จริงแล้วยังมีฮีโร่ตัวจริงที่ช่วยนำพาบรรดาเรื่องราวในหนังสือการ์ตูนอันเป็นที่รัก ออกมาโลดแล่นอยู่ในโลกภาพยนตร์อยู่อีกกลุ่มหนึ่ง ฮีโร่เหล่านี้นับเป็นฮีโร่ที่น่าสงสารเพราะไม่ได้โด่งดังนามกระฉ่อน บินฉวัดเฉวียนให้ผู้คนปรบมือกู่ร้องหลังจากปฏิบัติภาระกิจจบในแต่ละครั้ง แต่ต้องยืนอยู่บนพื้นที่ห่างๆที่แม้จะได้ยินเสียงชื่นชมแต่ไม่ค่อยมีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาเท่าใดนัก ฮีโร่กลุ่มนี้ก็คือ CGI และแหล่าศิลปิน CGI นั้นเอง ทุกวันนี้CGIถูกพัฒนามาถึงระดับที่เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในภาพยนต์อีกแล้ว ลำแสงนั่น พลังโน้น ดาวนี่ จึงไม่ได้อยู่นิ่งๆบนหน้ากระดาษอีกต่อไป (เรื่องนี้หน้ากากดั่งใจนึกของฮาลเดี๋ยวมาเดี๋ยวหายบนหน้าแบบคาๆตาจนพาสงสัยว่าเดี๋ยวนี้มันทำได้ขนาดนี้เชียวหรือ) ซึ่งปัจจุบันนี้หนังเรื่องหนึ่งใช้ CGIกันในสัดส่วนที่มากขึ้นบางเรื่อง 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ (ไม่นับ animation หรือ ภาพยนต์ที่เป็น CGI ล้วนๆนะครับ) แต่เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่า(ข้อมูลจากนิตยสารFILMAXประจำเดือน มิถุนายน)ประธานสมาคมวิชวลเอฟเฟกต์ อีริค รอธ เขียนจดหมายเรียกร้องความยุติธรรมจากบรรดาสตูดิโอทั้งหลาย ว่าด้วยเรื่องของการเรียกร้องสิทธิ์ของศิลปินCGI ซึ่งปัจจุบันถูกบังคับให้ทำงานหนักในเวลาที่น้อยเกินไปเพราะต้องการเร่งให้หนังเสร็จตามกำหนดฉายที่วางไว้ (เค้ายกเรื่องGreen lanternนี้ขึ้นมาเป็นตัวอย่างด้วยว่าเกือบทำวิชวลเอฟเฟกต์ไม่ทัน) แล้วยังได้ค่าตอบแทนที่ไม่เหมาะสม สวัสดิการก็ไม่ดี แถมยังไม่ได้รับเครดิตที่สมควรจะได้รับ (รอบที่ผมเข้าไปดูนี้ชื่อคนที่เกี่ยวข้องในด้าน CGI ขึ้นมาตอนที่นอกจากผมทุกคนออกจากโรงไปหมดแล้ว) ซึ่งน่าเห็นใจมากครับ ผมเองก็มีเพื่อนที่ทำงานด้านนี้อยู่บ้างก็พอเข้าใจ และขอเป็นกำลังใจให้เหล่าศิลปินCGIครับ คนเราทำงานหนักได้ด้วยใจคนที่ปิดทองหลังพระก็สมควรจะต้องมีเงินไปซื้อทองครับ.....

Thursday, June 23, 2011

SUPER 8

ต้องยอมรับก่อนเลยครับว่า ก่อนหน้าที่จะได้เข้าไปดูเรื่องนี้ ทุกครั้งที่เห็นตัวอย่างหนัง"ฉากที่เห็นประตูรถไฟซึ่งมีสัญลักษณ์กองทัพอากาศสหรัฐที่เป็นรูปดาวอยู่บนลายธงชาติทันใดนั้นประตูเหล็กก็เกิดการปูดผิดรูปจากการกระแทกอย่างแรงของอะไรซักอย่างที่อยู่ด้านในซึ่งแวดล้อมด้วยบรรยากาศที่ดูน่าจะอยู่ในฉากการสู้รบ" ผมจะเกิดความเข้าใจไปว่ากำลังดูตัวอย่างของ"กับตันอเมริกา"ไปเสียทุกครั้ง(เป็นการคิดไปเองของผมแต่เพียงผู้เดียวไม่ไช่ว่าตัวอย่างเค้าไม่ดีแต่อย่าใด) และไม่ได้ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากเท่าใดนัก รู้คร่าวๆว่าเป็นเรื่องราวที่มีกลุ่มเด็กที่นำกล้อง super8 ไปถ่ายทำหนังกันตามประสาเด็กแต่บังเอิญไปถ่ายติดเอาเหตุการณ์ที่เป็นความลับของกองทัพเกี่ยวกับตัวประหลาดหรือมนุษย์ต่างดาวเข้าให้ จนสุดท้ายกลายเป็นเรื่องราวในทำนองเอเลี่ยนบุกโลกเพียงเท่านั้น แต่ที่ไปดูก็เพราะมีสิ่งที่สนใจอยู่คือ 1) น้อง Elle น้องสาวของ ดาโกต้า เฟนนิ่ง ซึ่งเคยเห็นภาพของเธอ(ตอนยังเด็กๆกว่าปัจุบันนี้)ออกมาตามอินเตอร์เน็ทอยู่เนืองๆดูน่ารักน่าชังไม่น้อย(หลังจากดูหนังจบออกมาจากโรงผมได้ยืนดูดิสเพลย์ของหนังเรื่องนี้หน้าโรงหนัง เค้าฉายบทสัมภาษณ์เธอโดย พีเค อยู่ (ว๊าว พีเคได้ไปสัมภาษณ์ด้วย) ถึงได้รู้ว่า ดาโกต้าพี่สาวเธอก็เล่น war of the world ให้ สปีลเบอร์ก ตอนอายุเท่าเธอตอนนี้เป๊ะเลย(ฮั่นเน่! ลุงสปีลเบิร์กเล่นเคล็ดอะไรหรือเปล่าเนี่ย) 2) ผกก J.J. Abrams (ควบตำแหน่งเขียนบทด้วย) ซึ่งถ้าพูดถึงชื่อชั้นจากงานที่ผ่านมาที่เค้าโฆษณากันอย่าง Misson Impossible3 หรือ Star Trek นั้นส่วนตัวแล้วไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่ ซีรีย์ที่ทำเอาอดหลับอดนอนนั่งดูทั้งคืนแถมยังมีหลายครั้งที่แทบคลั่งเมื่อมันจบลงในแต่ละตอนและพูดติดปากบ่อยๆว่าคนคิดเรื่องมันคิดได้ยังไง อย่าง Lost ที่เขาทั้งเขียนบทและกำกับเองนี่สิทำให้ผมต้องดูเรื่องนี้ให้ได้ และ3) กล้อง super8 เพราะส่วนตัวชอบอารมณ์ที่ได้จากกล้องพวก8mmนี้เป็นทุนเดิมทำให้อยากรู้ว่าในหนังจะเสนออะไรที่น่าสนใจเกี่ยวกับกล้องนี้ออกมาบ้างหรือไม่

ตัวหนังดำเนินเรื่องราวของเหตุการณ์"สัตว์ประหลาดหลุดมาอาละวาด"ควบคู่ไปกับเรื่องราวชีวิตของเหล่าตัวละครหลักๆ ซึ่งมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ต่อกันหลังสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปโดยที่ให้น้ำหนักไปที่ประเด็นหลังมากกว่าเรื่องของมนุษย์ต่างดาว ดังนั้นหากใครที่ตั้งใจว่าจะไปดูหนังสู้กับสัตว์ประหลาดต่างดาวก็คงจะผิดหวังกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉากแอ็กชั่นจะดูง่อยเปลี้ยน่าเบื่อแต่อย่างใดเพราะก็ไม่ได้เสียชื่อป๋าสปีลเบอร์กแกแหละครับอันที่จริงแล้วก็จัดเป็นหนังแอ็กชั่นฟอร์มดีเลยทีเดียว(ไม่รู้ทำไมบ้านเราถึงโปรโมตน้อยกว่าหนังอึ๋มทะลุจอ) แต่ถ้าพูดกันตามตรงแล้วก็นับว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่นักทั้งเรื่องเอเลี่ยนบุกโลก,เรื่องโครงการลับที่ทางการปิดบัง,ความสัมพันธ์พ่อลูกที่ง่อนแง่นในตอนแรกแล้วมาเข้าใจกันในภายหลัง หรือการให้อภัยคนที่เป็นต้นเหตุของการจากไปของคนที่รักในท้ายเรื่อง รวมไปจนถึงเรื่องราวของกลุ่มเด็กๆที่ถ่ายทำภาพยนต์กันเอง ล้วนไม่ได้แปลกใหม่อะไรแถมประเด็นเหล่านี้ทั้งหมดได้เคยถูกนำไปชูเป็นประเด็นหลักของหนังเรื่องอื่นมาแล้ว(บางประเด็น หลายเรื่องแล้วด้วยซำ้) แต่น่าแปลกที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าเบื่อแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าหนังดูสนุกและมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราว(พี่พอจะเดาออก)ได้อย่างดีทีเดียว ทั้งหมดนี้คงต้องยกความดีความชอบให้แก่บทโดยรวมของหนังซึ่งถ่ายนำ้หนักของแต่ละประเด็นได้ในสัดส่วนที่ดีเยี่ยมอย่างเช่น"โจ"ตัวเอกของเรื่องที่เป็นเด็กมีปมเพราะการจากไปของแม่ก็ไม่ได้ดูเก็บกดหรือโหยหาอาวรณ์แม่จนน่ารำคาญแต่กลับเป็นตัวละครซึ่งมีมิติน่าสนใจเพราะภายนอกเขาแสดงออกถึงความแข็มแข็งและใช้ชีวิตต่อไปเป็นปกติให้ทุกๆคนในเมืองที่ล้วนเป็นห่วงเห็นว่าตัวเค้าแองนั้นสบายดีทั้งที่จริงๆแล้วเขายังคงเก็บสร้อยคอของแม่ไว้ติดตัวตลอดเวลาและทุกครั้งที่รู้สึกไม่ปลอดภัยหรือมีปัญหาไม่สบายใจใดๆเค้าจะนำมันออกมาถือไว้ในมือให้ได้รู้สึกเหมือนแม่ยังอยู่กับเขาแสดงให้เห็นว่าบาดแผลในใจของโจยังคงมีอยู่และสร้อยเปรียบเสมือนตัวแทนของแม่ซึ่งโจยึดถือเอาไว้เป็นดั่งที่พึ่งเดียวของเขาขณะที่ในความเป็นจริงเขายังมีพ่ออยู่แต่สำหรับโจแล้วพ่อยังไม่สามารถทำหน้าที่ในส่วนนี้ได้ ภาพของโจที่ดูเปราะบางลึกๆแต่ยังมีความสุขกับชีวิตได้ทำให้เราเอ็นดูและพยายามเอาใจช่วยเขาไปตลอดทั้งเรื่อง หรือในส่วนของรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในหนังเช่นกลุ่มเพื่อนของโจซึ่งแต่ละคนในแก็งมีคาเรกเตอร์ของตัวเองชัดเจน(ซึ่งแทบเป็นสูตรสำเร็จ)มีเจ้าตัวที่พูดมาก มีเด็กจอมปอด มีเด็กที่บ้าอ่ะไรซักอย่างมากๆ(ในเรื่องนี้คือบ้าการทำหนัง) แต่บทบาททั้งหมดไม่มีคนไหนที่ล้นเกินไปจนน่ารำคาญ อีกทั้งการที่โจปิ๊งกับสาวน้อย อลิส ก็ทำออกมาดูน่ารักน่าลุ้นดีอีกด้วย ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าหนังเรื่องนี้มีการวางสัดส่วนที่ลงตัวในหลายๆด้านทำให้โดยรวมแล้วเป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกและสร้างความประทับใจไว้พอสมควรทีเดียวหลังจากดูจบ


ประเด็นหนึ่งที่ผมได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นในฉากที่โจและพ่อของเขาทะเลาะกันซึ่งเป็นจุดไคล์แม็กของความสัมพันธ์พ่อลูกที่ดูง่อนแง่นมาตั้งแต่ต้น พ่อของโจซึ่งก็ยังคงมีบาดแผลจากการจากไปของภรรยาเช่นเดียวกันกับโจ และแสดงออกโดยการทำงานหนักและยังไม่ให้อภัยผู้ที่มีส่วนกับการเสียชีวิตของภรรยาของเขา ในตอนที่พ่อสั่งไม่ให้โจไปยุ่งเกี่ยวกับลูกสาวของผู้ที่มีส่วนกับการเสียชีวิตของภรรยา โจได้ปฏิเสธที่จะทำตามและต่อต้านความคิดของพ่อ ทำให้พ่อของเค้าพูดในทำนองว่า ในตอนนี้ตัวเขาเองต้องรับภาระหน้าที่ทางการงานอันหนักหนามากพออยู่แล้วอย่าทำตัวเป็นปัญหาอีกเลยและออกจากบ้านไป เหตุการณ์นี้ทำให้ผมตระหนักได้ว่า ในหลายครั้งคนเรานั้นมักจะมองปัญหาของตนเองเป็นศูนย์กลางและเห็นมันยิ่งใหญ่เสียเหลือเกินจนไปบดบังปัญหาหรือกระทั่งตัวตนของคนอื่น ซึ่งแท้จริงแล้วคนทุกคนมีปัญหาของตนกันทั้งนั้นและบางคนมีปัญหาที่หนักหน่วงกว่าปัญหาของเราหลายเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้คนรอบตัวที่เรารักที่เราให้ความสำคัญต่อเขา การที่เราจะอยู่ด้วยกันเราก็ควรที่จะพยายามมองปัญหามองสิ่งที่เค้าต้องแบกรับเมื่อถึงเวลาที่เราไม่เข้าใจกันเราก็ควรที่จะถอยหลังจากปัญหาของเราสักก้าวสองก้าวให้เราได้มองเห็นและรับรู้ถึงปัญหาของเขาเหล่านั้นเพื่อความเข้าใจกัน เพื่อช่วยกันรับมือกับสิ่งที่ต้องเผชิญ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ การก้าวออกมาจากปัญหาของตนเพียงชั่วครู่น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ได้หนักหนาเกินไปนักที่เราจะเสียสละให้แก่คนที่เราคิดว่ามีความสำคัญต่อเรา ซึ่งพ่อของโจเอง ลึกๆในใจของเขาแล้วปัญหาที่หนักที่สุดที่เค้าต้องแบกรับไม่ใช่ภาระหน้าที่ทางการงานที่เขาต้องรับผิดชอบ แต่เป็นความเหงาจากการสูญเสียภรรยา(เห็นได้จากที่เขายังคงแอบร้องให้อยู่คนเดียว) ในขณะที่โจเองก็ยังคงคิดถึงแม่และยังไม่มีความรู้สึกว่าพ่อจะสามารถเติมเต็มในส่วนของแม่ที่จากไปได้จึงยังเก็บสร้อยที่เป็นตัวแทนของแม่เอาไว้ ซึ่งแท้จริงแล้วแต่ละฝ่ายก็คือยาที่จะสมานแผลของอีกฝ่ายได้อย่างดีที่สุด ดังนั้นเพียงแค่เราไม่มองปัญหาของเราเป็นศูนย์กลางและเปิดรับปัญหาของคนที่เรารักก็จะทำให้การอยู่ด้วยกันของคนเรามีความหมายและมีคุณค่าต่อกันสามารถฝ่าฟันไปพร้อมกันได้อย่างมั่นคง ดั่งเช่นในท้ายที่สุด ที่โจยอมปล่อยมือออกจากสร้อยของแม่หลังจากพ่อของเขาบอกกับเขาว่า "เรามีกันและกันนะลูก"
ปล.สำหรับน้อง Elle ก็ไม่ผิดหวังครับแสดงได้น่ารักทีเดียวและดูถ้าจะออกตัวได้ดีเสียด้วย(สำหรับผมคิดว่าออกตัวได้ดีกว่าพี่สาวเธอนะครับ)ต้องรอดูกันต่อไปขอเอาใจช่วยน้อง Elle ไว้ ณที่นี้ครับ อ่อเรื่องกล้องsuper8 ก็ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากมายเท่าไหร่นักแต่แอบกระซิบว่าหนังจบแล้วอย่าพึ่งรีบลุกไปไหนกันครับรอดูอารมณ์จากกล้องสุดคลาสสิกนี้กันแบบน่ารักน่าเอ็นดูกันครับ...