Thursday, June 30, 2011

TRANSFORMERS : DARK OF THE MOON



..........เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าหลังจาก Transformers2 ออกฉาย ถึงแม้ว่าตัวหนังจะทำรายได้ถล่มทลายตามความคาดหวังของสตูดิโอผู้สร้างอย่าง พาราเมาท์ แต่นั้นก็ไม่ใช่อย่างเดียวที่ถล่มใส่พวกเขา เพราะทั้งคนดูและแน่นอน เหล่านักวิจารณ์ทั้งหลาย ก็พากัน "ถ่ม" คำวิจารณ์ในทางลบออกมาอย่างหนักหน่วง (นักวิจารณ์ท่านหนึ่งถึงกับบอกว่า "สู้คุณปล่อยลูกๆเข้าไปในครัว เปิดเพลงให้ดังๆจากนั้นบอกให้เด็กๆกระหนำ่ตีหม้อตีไห แล้วหลับตาจินตนาการเอา ยังจะดีกว่าไปดูหนังอีก) ยังไม่พอแค่นั้น หนังยังถูกยัดเยียดทั้งรางวัลหนังยอดแย่ บทภาพยนตร์ยอดแย่ และผู้กำกับยอดแย่ ให้อีกต่างหาก ไหนจะข่าวคราวปัญหาไม่ลงรอยกันระหว่างแม่สาว(ที่ผมยืนยันว่าไม่ใช่เพราะเธอหรอกนะ ผมถึงไปดูหนังเรื่องนั้น จริงๆ) อย่างเมเกน ฟอกซ์ กับ ผกก. ไมเคิล เบย์ ถึงขั้นลั่นวาจาไม่ขอร่วมงานกันอีกต่อไป สิริรวมแล้วก็เรียกได้ว่าเจ็บหนักแทบไม่ได้เกิดกันเลยทีเดียว แต่!! จากไอ้สิ่งแรกที่ถล่มใส่พวกเขาตามที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้นก็ไม่ใช่น้อยแพราะฉะนั้น "ไฟท์ล้างตาของ" ไมเคิล เบย์ นี้จึงเกิดขึ้นมาได้ไม่ยาก


..........โบราณท่านว่า คนดีย่อมแก้ไข(ที่เหลือละไว้นะครับ) และแน่นอนว่าจากที่ทำคะแนนตกไปเยอะมาก เฮีย ไมเคิล เบย์ แกก็ไม่ได้ทำเนียนๆ ไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็เข็นภาค 3 ออกมาเฉยๆ แต่ได้ออกมายอมรับว่าหนังภาค 2 มันห่วยจริงอย่างที่โดนสับ ซึ่งก็ไม่บ่อยนักที่ไม้เบื่อไม้เมากับพวกนักวิจารณ์อย่างเบย์จะยอมจำนน โดยเขาได้ชี้แจงว่า หลังจากภาคแรกประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้ถูกเร่งให้ทำภาคต่อออกมาเร็วเกินไป ประจวบกับในตอนนั้นเกิดเหตุการณ์ประท้วงหยุดงานของสมาคมคนเขียนบทขึ่้นอีก กว่าการประท้วงจะจบลง เลยมีเวลาสำหรับการเขียนและพัฒนาบทแค่เพียง 3 เดือนเท่านั้น ทำให้มีปัญหาออกอ่าว ออกทะเล(ทราย) อย่างที่เห็น ดังนั้นในภาค 3 นี้ เบย์ จึงให้ความสำคัญ ดูแลประคบประหงม ทำงานร่วมกับคนเขียนบทอย่างใกล้ชิด และยืนยันว่าจะไม่ยอมให้สิ่งที่ไม่เข้าท่าเข้าทางปรากฏในหนังอีกเด็ดขาด (อย่างเจ้าหุ่นพูดมากน่ารำคาญ2ตัวนั่น) และหนังจะต้องไม่มีทรายอีกต่อไป พร้อมกับพยายามจะนำสิ่ง(อารมณ์) ที่หายไปจากภาคแรกกลับคืนมา

อีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากกล่าวถึงก่อนที่จะเข้าเรื่องของตัวหนังคือ ระบบ 3 มิติครับ ไมเคิล เบย์ เป็นหนึ่งในผกก. หลายคนที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่หันหน้าเข้าสู่ระบบ 3 มิติเพราะความใหญ่เทอะทะของกล้อง 3 มิตินั้น ขัดกับสไตล์การทำงานของเขา แต่จนแล้วจนรอด จากการโน้มน้าวของเจ้าพ่อ 3 มิติอย่าง เจมส์ คาเมรอน ในที่สุดเบย์ก็ยอมทำหนังภาคนี้ออกมาในรูปแบบ 3 มิติ แถมยังถ่ายทำโดยใช้กล้อง 3 มิติจริงๆ ไม่ได้มาทำการคอนเวิร์ดที่หลังอีกต่างหาก โดยเบย์กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า คาเมรอนบอกกับเขาว่า ระบบ 3 มิติมันเป็นอะไรที่เหมาะกับเบย์มาก และปัญหาต่างๆมันได้ถูกแก้ไขไปหมดแล้ว บัดนี้มันเป็นเหมือนของเล่นใหม่ของเราที่มีอะไรให้ลองอีกมาก และเบย์ก็เห็นว่า เจมส์มีเครื่องไม้เครื่องมือรวมถึงบุคลากรที่พร้อมอยู่แล้ว เขาถึงได้ตกลงใจก้าวเข้าสู่โลก 3 มิติ แถมยัง "ออกตัวแรง" บอกกับพวกเราอีกว่า "เพราะเขาจงใจถ่ายเพื่อให้ออกมาเป็นหนัง 3 มิติ ดังนั้นควรไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้แบบ 3 มิติไม่ใช่ 2 มิติ" แหมเฮียก็ กลืนน้ำลายตัวเองซะอึกใหญ่เชียว ระวังสำลักเอาจะหาว่าไม่เตือน (ข้อมูลบางส่วนจากนิตยสาร FILMAX ประจำเดือน มิถุนายน)


..........ในภาค Dark of the moon นี้ เรื่องราวได้ถูกโยงไปผูกเอาตั้งแต่ตอนที่ นีล อาร์มสตรอง ลงเหยียบดวงจันทร์นู้นเลยทีเดียว โดยที่เล่าว่า อันที่จริงแล้ว ที่ยานอพอลโล่ 11 ถูกส่งไปยังดวงจันทร์นั้น มีภารกิจเบื้องหลังอีกอย่างคือ การสำรวจบริเวณด้านหลังของดวงจันทร์ ซึ่งถูกตรวจพบตั้งแต่ก่อนอพอลโลจะพร้อมเดินทาง ว่ามีวัตถุขนาดใหญ่บางอย่างตกลงมาในบริเวณนั้น โดยหารู้ไม่ว่า ทั้งหมดเป็นแผนการของดีเซปติคอน ซึ่งได้วางเอาไว้นานแล้ว นำพาให้หายนะใหญ่หลวงมาสู่โลก ซึ่งในส่วนของหายนะนี้ ก็เป็นที่ประหลาดใจของผมอย่างหนึ่ง เพราะไม่คิดว่าจะทำให้ออกมา "วายป่วง" ขนาดนี้ ประหนึ่งเป็นหนัง "Disaster" เลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ ก็นับว่าตัวหนังสามารถพาเราไปสู่ความรู้สึกหดหู่สิ้นหวังได้ไม่เลว โดยได้กำหนดให้มนุษย์ตัดสินใจเนรเทศเหล่าออโตบอตทั้งหมดออกไปจากโลก และเผชิญกับการรุกรานของกองทัพดีเซปติคอน (แบบเต็มอัตรา) ที่กำลังทำลายตึกรามบ้านเมือง ไล่ยิงคนซะกลายเป็นผุยผง และถึงแม้จะรู้ๆกันอยู่ว่า ยังไงออโตบอตก็ต้องกลับมาช่วยอยู่ดี

หนังก็ยังได้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เองก็ไม่ได้รอคอยความช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว สังเกตได้ว่าสิ่งที่หนังภาคนี้นำกลับมาคือมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ เรื่องราวของมนุษย์ การต่อสู้กับอุปสรรคของมนุษย์ ทำให้ผมนึกถึงอารมณ์ของหนังอย่าง ID4 ขึ้นมา อารมณ์ที่มนุษย์มาถึงคราวเคราะห์ แล้วทุกคนร่วมมือกันด้วยกำลังใจที่แสนจะหึกเหิมเพื่อช่วยกันปกป้องโลกเอาไว้ (ซึ่งส่วนตัวผมนิยมอารมณ์แบบนี้อยู่พอสมควร) ในภาคนี้มนุษย์แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะสู้กับหุ่นยนต์ แถมไม่ใช่ความพยายามโง่ๆ แบบที่ดูแล้วไม่เห็นว่าจะสู้ได้ตรงไหน เพราะหน่วยของเลนนอกซ์ดูเป็น "มืออาชีพ" ไม่น้อย อีกอย่างต้องยอมรับว่าฉากที่เหินฟ้าไปตามตึกนั้นมันดู "เจ๋ง" จริงๆ และจากที่ผ่านๆมา ยังไม่เคยเห็นมนุษย์ล้มหุ่นยนต์ได้ซักตัว ภาคนี้ก็ได้เห็นในที่สุด จากความร่วมมือกันและวิธีการที่ถูกคิดมาแล้วเป็นอย่างดี ในขณะเดียวกัน ทีม "รวมเพื่อน" ของแอปป์ (บวกกันลูกน้องผิวดำของเลนนอกซ์อีกคน) ก็เหมือนเป็นตัวแทนที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ที่จะต่อสู้กับภยันตราย

และที่สำคัญ ตัวละครของแซมเองก็ถูกวางปมที่น่าสนใจไว้ให้ คือ แม้ว่าแซมจะช่วยกู้โลกมาถึง 2 ครั้ง 2 ครา แต่ในปัจจุบันกลับไม่ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเท่าไหร่นัก ถูกกันออกจากเรื่องของพวกหุ่นยนต์ ให้เป็นเหมือนประชาชนธรรมดาแถมยังคงไม่มีงานทำ และหลายที่ที่ไปสัมภาษณ์ก็ไม่เห็นคุณค่าของเขา หรือแม้แต่เหรีญกล้าหาญซึ่งโอบาม่า!! มอบให้กับมือ สุดท้ายได้งานก็เป็นแค่คนเดินเอกสารภายในบริษัท ในขณะที่แฟนสาว (คนใหม่) ได้ทำงานกับเจ้านายรูปหล่อพ่อรวยใจกว้าง แถมมีท่าที "หมาหยอกไก่" กับแฟนของของเขาอีกต่างหาก ความกดดันของเขาค่อยๆ พอกพูนขึ้นมา จนในที่สุดก็ระเบิดออกมาแบบสติแตกสุดๆ ตอนที่เขาพยายามจะเข้าไปพบพวกออโตบอตในฐานทัพลับ แล้วทหารที่คุมบริเวณทางเข้าได้ปฏิบัติต่อเค้าแบบ "คนนอก" และขัดขวางไม่ให้เขาเข้าไป ในฉากนี้ทำให้มีความรู้สึกแบบ คนดี (ฮีโร่) ที่สังคมเมินขึ้นมา แต่แซมเองก็ไม่ได้ "งอน" หันหลังให้สังคมแต่อย่างใด ด้วยยังมีคนรักที่เข้าใจและพวกพ้องที่ยึดเหนี่ยวได้อยู่ ทำให้เขาไม่ท้อถอยที่จะสู้กับอุปสรรคที่กำลังเผชิญ

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือความเป็นมนุษย์ ซึ่งถึงแม้ว่า Transformers จะเป็นหนัง"หุ่นยนต์" แต่คนดูคือคน เรื่องของหุ่นยนต์จะเข้าถึงคนมากกว่าเรื่องของมนุษย์ได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น ในทางกลับกัน"หุ่นยนต์"ของหนังเรื่องนี้ เป็นจุดแข็งในตัวของมันเองอยู่แล้ว เป็นเหมือนอาวุธที่ทำให้ Transformers เหนือกว่าภาพยนตร์แอคชั่นเรื่องอื่นๆ ดังนั้นการใส่ใจไปที่เรื่องของมนุษย์ จึงน่าจะเป็นการแก้เกมส์ที่มาถูกทางของ ไมเคิล เบย์ และคนเขียนบทของเขา



..........ที่ผ่านมาหนังประเภทโลกถูกจู่โจมซะเละเทะยับเยินนั้น มีออกมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ต้องยอมรับว่าเมื่อมาอยู่ในมือของ ไมเคิล เบย์ มันช่างออกมา "ถึงเครื่อง" แซงหน้าเรื่องอื่นอย่างเห็นได้ชัด ฉากแอคชั่นทั้งหลายทำออกมาสุดมันส์ และสวยงามไปในขณะเดียวกัน ยิ่งเมื่อเบย์มาจับอาวุธใหม่ อย่าง 3D ด้วยแล้วยิ่งเหมือนยอดขุนศึกได้ม้าดียังไงยังงั้น (ผมตัดสินใจดู 3D เพราะเห็นว่ามันแพงขึ้นมาอีก 40 บาท พอสู้ไหวเลยขอลองของซักหน่อย) แต่ก็ยังไม่ได้สมบูรณ์แบบไปซะทั้งหมด สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่ามันเยอะไปนิด คือภาพระยะใกล้กล้อง ถ้าพูดกันแล้วในเบื้องต้น อาวุธของ 3D ก็คือความลึก ซึ่งปกติของการถ่ายหนัง(ส่วนใหญ่) ความลึกหรือระยะ จะถูกรักษาไว้เพื่อไม่ให้ภาพออกมาดูแบนอยู่แล้ว โดยวิธีการให้มีวัตถุในระยะใกล้กล้อง(จะเบลอๆเป็นส่วนใหญ่) เป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมใช้กัน แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเพราะมันเป็น 3D หรือเปล่าทำให้รู้สึกว่ามันมีบ่อยไปหน่อย (เรื่องแรกที่ผมดูแบบ 3D คือ Avatar ตอนนั้นรู้สึกจะไม่เยอะเท่านี้ เหมือนว่าจะไปลึกทางด้านหลังเสียมากกว่า) หรืออันที่จริงแล้ว อาจเป็นเพราะสายตาต้องคอยมาอ่านคำบรรยายทางด้านล่าง ซึ่งลอยออกมาอยู่ในระดับใกล้ด้วยเหมือนกัน เลยทำให้ไปรู้สึกถึงภาพระยะใกล้กล้องบ่อยเกินไปก็เป็นได้ ในด้านของข้อดี ภาพยนตร์ 3D หลายๆเรื่องมักจะมีฉากที่ "จงใจ" ให้มันทะลุจออยู่บ่อยๆ กรณีที่ง่อยที่สุดคือ ตัวละครสักตัวมองกล้องแล้วปาอะไรสักอย่างเข้ามาหากล้อง อะไรทำนองนั้น ซึ้งผมคิดว่าปัจจุบันนี้ 3D มันน่าจะเลยจุดที่จะมาโชว์อะไรกันโต้งๆแบบนั้นมาแล้ว แต่ความรู้สึกเหมือนว่า นั่งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศในหนังจริงๆน่าจะเข้าท่ามากกว่า ซึ่งผมรู้สึกถึงบรรยากาศนั้นได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ของเบย์ สิ่งที่เขาทำไม่ใช้การโยนอะไรสักอย่างใส่กล้อง แต่เป็นการเอาบรรยากาศบางอย่างออกมาจากภาพแบบเนียนๆ เบาๆ เช่นเศษเล็กเศษน้อยจากการระเบิดหรือประกายไฟ แสงแฟร์ของแดด ไปจนถึงกระดาษที่ปลิวว่อน (ซึ่งใช้หลายครั้งจนไม่แปลกใจที่มีดับเบิ้ล A เป็นสปอนเซอร์) ของชิ้นเล็กๆเหล่านี้พอมันดูลอยออกมาแล้ว มันทำให้รู้สึกเหมือนเราอยู่ท่ามกลางบรรยากาศในหนังได้เป็นอย่างดีทีเดียว รวมถึงในฉากแอคชั่นทั้งหลายซึ่ง 3D ถูกใช้มาช่วยเสริมให้ดู ยิ่งใหญ่สมจริงมากขึ้นไปอีกขั่นหนึ่ง เพราะฉนั้นก็นับว่าไม่เลวนะครับ ที่จะลองไปดูหนังเรื่องนี้กันแบบ 3D ซะหน่อย สำหรับผมคิดว่าคุ้มค่า กับราคาที่ต้องเสียเพิ่มครับ (เนื่องด้วยหนังมีความยาวประมาน 3 ชั่วโมง หลังจากดูจบจึงทิ้งอาการปวดตาไว้เล็กน้อยแต่ไม่น่าจะเป็นปัญหาถ้าได้พักตาสักหน่อยครับ) จากนี้ไปก็นับว่าน่าติดตามทีเดียวว่า ไมเคิล เบย์ จะไปต่อได้ไกลแค่ไหน กับระบบ 3D


..........ดังนั้นโดยรวมแล้วสำหรับผมคิดว่า Transformers ภาคนี้สามารถแก้ตัวได้ไม่เลวนะครับ ให้ความรู้สึกอิ่มเอมออกมาจากโรงหนังได้มากทีเดียว จะว่าไปแล้วก็ยังมีภาพยนตร์อีกตั้งหลายเรื่องนะครับ ที่บางภาคบางตอนเราอยากจะลืมๆไปซะ ว่ามันเคยเกิดขึ้นมา แต่สำหรับ Transformers2 ส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะลืมยากหน่อยครับ.. เปล่านะครับไม่ใช่อย่างที่คิดกันนะครับ ไม่ได้เป็นเพราะ เมแกน ฟอกซ์ หรอกครับ(จริงๆ).....

2 comments:

  1. รีเควสเรื่อง true grit หน่อยครับ

    ReplyDelete
  2. รับทราบครับ เพียงแต่ยังไม่ได้ไปถอยมาครอบครอง เนื่องจากDVDเพิ่งออกมาราคายังเจ็บนิดๆอยู่ ได้ดูเมื่อไหร่จะรีบเอามาลงนะครับผม

    ReplyDelete