Sunday, July 17, 2011

บทความ : นั่งร้านกาแฟ

..........ด้วยผลต่อเนื่องมาจากการที่ตัดสินใจระเห็ดตัวเองออกมาจากชีวิตแบบ "คนมีงานประจำทำ" เมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมว่าจะได้มีวันเวลาแบบชีวิตเลือกได้ลิขิตเองบ้าง แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับเป็นว่า ได้มีชีวิตแบบต้องสรรหาอะไรมาทำไปในแต่ละวันมาระยะหนึ่งแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเพราะลมฟ้าหน้าฝน หรือเพราะอยู่ระหว่างฤดูการเลือกตั้งที่มีผลต่อทิศทางโดยรวมของสังคม จริงๆอย่างที่พยายามคิดปลอบใจตัวเองหรือเปล่า แต่ก็ยอมรับครับ ว่าทำเอาจิตใจพะว้าพะวงอยู่ไม่ค่อยเป็นสุขเท่าไรนัก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นทุกข์โศกอะไรมากมาย ก็คิดหวังว่ามันจะต้องดีขึ้น และช่วงเวลาที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้จะกลายเป็นช่วงชีวิตช่วงสำคัญหนึ่งที่เคยเกิดขึ้น เป็นช่วงชีวิตติดแหง็กที่จะประทับไปอยู่ในความทรงจำ หลอมรวมไปกับเรื่องราวอื่นๆที่สะสมมาและที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกต่อๆไป

ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เอง ทำให้ผมมีรูปแบบการใช้ชีวิต อันอภิรมย์ รูปแบบใหม่เกิดขึ้น นั่นคือการไปนั่งอยู่ที่ร้าน "กาแฟ" โดยการนั่งแบบที่ว่านี้ ที่มันใหม่(สำหรับผม)เพราะว่า ไม่ใช่ว่าไปนั่งเพื่อดื่มกาแฟหรือไปรอใครอะไรเทือกนั้น เพราะไอ้อย่างนั้นผมก็เคยทำมาก่อนอยู่บ่อยๆ แต่การนั่งอย่างที่ว่าคือการไปนั่งอยู่นานๆ นั่งอยู่หลายชั่วโมง หรือบางครั้งบางคราวล่วงไปถึงครึ่งค่อนวันก็มี ด้วยจุดประสงค์ที่ว่าง่ายๆคือ ใช่ต่างห้องทำงาน หรือ ต่างห้องนั่งเล่น ขึ้นอยู่กับว่าในครั้งนั้นนั่งแล้วได้อะไรกลับมา ถ้าได้งานก็เป็นห้องทำงาน ถ้าได้อ่านหนังสือจบ(หรือไม่จบ)ก็เป็นห้องนั่งเล่นไป มาถึงตรงนี้หลายคนอาจด่าเอาว่า เชยจริง เพราะผู้คนเค้าทำเค้าปฏิบัติกันมานานนมแล้ว ถูกแล้วครับ ผมเองก็ประสบพบเห็นมานานแล้วว่าตามร้านกาแฟแอร์เย็นๆที่นั่งสบายๆเหล่านี้ มักจะมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลทั้งวัยรุ่น วัยรุ่ง วัยโรง ทั้งนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน คนว่างงาน(อย่างผม) มานั่งจับจอง"ฝังราก"กันเป็นที่ชินตา ทั้งยังเคยนึกด่ากับตัวเองด้วยซำ้เวลาจะเข้าไปนั่งเพื่อดื่มกาแฟแล้วไม่มีที่นั่ง ว่าไอ้คนพวกนี้มันจะมานั่งสิงอะไรกันเป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าพูดถึงพริกเราฟังคนเค้าเล่าเค้าบอกว่ามันเผ็ดอย่างนั้นอย่างนี้ ตราบใดที่ไม่ยัดเข้าปากเคี้ยวเอาเองมันไม่รู้ซึ้งถึงรสชาติหรอกครับ เช่นเดียวกันครับ ระหว่างที่ผมนั่ง"ฝังราก"เขียนบทความนี้อยู่ ก็อาจจะมีซักคนในหลายคนที่ผ่านมาผ่านไปกำลังนึกด่าผมอยู่ในทำนองเดียวกันนี้ก็เป็นได้


ก่อนหน้าที่ผมจะเริ่มนิยมกิจกรรมที่ว่านี้ได้ไม่นาน วันหนึ่งผมได้ไปเจอะเจอกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่ห้างเซ็นทรัลสาขาปิ่นเกล้าโดยบังเอิญ ไปเจอมันนั่งอ่านหนังสือเรียน(ปริญาโท)อยู่ที่ร้านกาแฟร้านหนึ่ง ก็เข้าไปทักไปคุยตามประสา วันนั้นผมประหลาดใจมากเมื่อมันบอกเหตุผลที่มานั่งอยู่ที่นั้นว่า มาเพื่ออ่านหนังสือเรียนโดยเฉพาะไม่ได้จะมาช้อปปิ้ง จับจ่าย ดูหนัง ดูหญิงอะไร(อันนี้ก็อาจเป็นผลพลอยได้ประการหนึ่ง) "มึงมานั่งอ่านหนังสือที่ร้านกาฟเนี่ยนะ ทำไมไม่อ่านที่บ้านวะ ที่นี่มันจะไปมีสมาธิอะไรที่ไหนมาอ่านหนังสือ" มันก็บอกว่าอ่านอยู่บ้านมันง่วง มาอ่านนอกบ้านดีกว่า มันก็เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นพอตัวอยู่ แต่ผมก็ยังคงติดใจสงสัยอยู่ดีในวันนั้น มาปัจจุบันนี้ผมรู้แจ้งกระจ่างแล้วครับ ทุกวันนี้ที่ผมพยายามฝึกฝนเขียนนั่นแต่งนี่อยู่นี้ ส่วนใหญ่จะเกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นที่ "ร้านกาแฟ" มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว แม้ว่าจะต้องกลับไปแต่งไปเติมหรือแก้ไขที่บ้านทุกเรื่อง แต่อย่างน้อยก็ต้องไปเริ่มเขียนที่"ร้านกาแฟ" มันถึงจะเขียนออก และดูจะลื่นไหลกว่าเขียนที่บ้าน หลายคนคงเถียงว่าเป็นเรื่องของสมาธิ หรือหนักหน่อยก็คงว่าผิดที่สันดอนสันดานอะไรของผมเอง ก็ไม่ได้ว่าไม่ได้น้อยใจอะไรครับ แต่สำหรับผมมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ประเด็นหนึ่งที่ว่า ที่บ้านนั้นมันมีสิ่งเร้าเยอะ ไหนจะโทรทัศน์ เกมส์ หนังสือการ์ตูน หมอน เตียง มันก็ถูก แต่ผมเองก็ไม่ใช่คนสมาธิสั้นอะไรขนาดนั้น จะว่าไปถ้าเริ่มจับเริ่มทำอะไรแล้วก็ไม่ค่อยจะไหลเทไปทำอย่างอื่นกลางคันเท่าไหร่นัก แต่ไอ้ตอน"เริ่มต้น" เนี่ยแหละครับที่มันต้องอาศัยอารมณ์ อาศัยแรงบันดาลใจกันเข้มข้นหน่อย ซึ่งผมค้นพบว่ามันจะไปเข้มข้นที่ "ร้านกาแฟ"ครับ ที่บ้านมันจะเจือจาง ไม่ใช่ไม่มีนะครับ แต่มันเจือจาง

..........ไหนๆก็คิดจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาเขียนแล้ว ผมจึงต้องคิดสำรวจค้นหาเหตุผลมารองรับซักหน่อยว่าน่าจะเป็นเพราะเหตุใด ทำให้ผม(หรืออีกหลายคน) นิยมพฤติกรรมเช่นนี้ แน่นอนว่าประการแรกน่าจะมาพร้อมกับแทคโนโลยีในปัจจุบันที่พัฒนาขึ้น การติดต่อสื่อสารที่สะดวกสบายและรวดเร็ว ระบบไร้สายทำให้เราสามารถจะรับ-ส่งสารหรืออะไรก็ตามแต่ ได้(เกือบ)ทุกที่ทุกเวลาไม่จำเป็นต้องนั่งติดอยู่กับโต๊ะทำงานอีกต่อไป ไม่ต้องคอยรับแฟกซ์หรือจดหมาย คนเราทุกวันนี้จึงค่อนข้างมีอิสระที่จะอุปโลกน์สถานที่ใดๆก็ตามที่รักที่ชอบ ให้เป็นออฟฟิตเคลื่อนที่ของตัวเองได้ อีกทั้งอุปกรณ์ในการทำงานของคนเราทุกวันนี้ เรียกได้ว่าแค่คอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊คเครื่องเดียว ก็เพียงพอที่จะทำได้ร้อยแปดพันประการ นอกจากนี้ตัว"ร้านกาแฟ"เอง ก็อำนวยปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เอื้อต่อการเป็น"ที่ทำงาน"อย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ปลั๊กไฟ อินเตอร์เน็ท และที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ โต็ะเก้าอี้ ที่มีลักษณะเป็นโต๊ะทำงาน มากกว่าที่จะเป็นโต๊ะอาหารหรือโต๊ะกาแฟ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเพียบพร้อมในส่วนของ "สถานที่และอุปกรณ์"เป็นส่วนที่จับต้องได้ สำหรับในส่วนที่จับต้องไม่ได้อย่างอารมณ์ความรู้สึกนั้น ต้องเริ่มพิจารณากันจากคำว่า "ทำงาน" กันก่อน ผมคิดว่าคำที่ตรงกันข้ามกับคำว่าทำงานน่าจะเป็นคำว่า "พักผ่อน" ในการทำงานเราจะต้องใช้ศักยภาพของตัวเอง สุดแล้วแต่ใครจะมีมากมีน้อย รีดเค้นมันออกมาปฏิบัติกันไปตามแต่หน้าที่ความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งมักตามมาด้วยความเหนื่อยล้า,เคร่งเครียจ หรือกดดัน นี่คือบรรยากาศในการทำงาน และแน่นอนว่า "ที่ทำงาน" เป็นที่ๆมีคนทำงานหลายคนมารวมตัวอยู่ด้วยกัน ดังนั้นจึงอุดมไปด้วยบรรยากาศของการทำงาน จะเรียกว่าเป็นมนขลังของที่ทำงานก็ไม่ผิดนัก นี่คือ"ที่ทำงาน" ส่วน "ร้านกาแฟ" หลากหลายชีวิตที่แวะเวียนมาที่ร้านกาแฟ บ้างมาคื่มกาแฟ บ้างมาฆ่าเวลารอคอยใครบางคน บ้างพบปะสนทนากัน บ้างมาอ่านหนังสือหนังหา หนังสือพิมพ์กันไป และบ้างก็มาทำงาน เห็นไหมครับว่ามันมีบรรยากาศหลายอย่างหลายจำพวกอยู่ในร้านกาแฟ โดยเฉพาะมีบรรยากาศของการ"พักผ่อน"ร่วมอยู่ด้วย แถมยังมีเครื่องดื่ม(แพงหน่อยก็ถือซะว่า มีได้มา ก็มีให้ไปบ้างก็แล้วกัน) และ มีคนคอยบริการเราอีกต่างหาก ในขณะเดียวกัน ระดับความอลหม่านสับสนในร้านกาแฟก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก ไม่ถึงขั้นจะเสียสติเสียสมาธิไปทีเดียวพร้อมกันอะไรเช่นนั้น มีอื้ออึงนิด เอิงเอยหน่อย พอประมาณ เรียกว่าเป็นเสมือนจุดพบกันครึ่งทางระหว่างการทำงานและการพักผ่อนก็ว่าได้


การไป "นั่งร้านกาแฟ" ของผมก็จะประกอบไปด้วยแบบแผนเล็กน้อย นอกเหนือจากพวก คอมพิวเตอร์,ที่ชาร์จ,กระดาษดินสออะไรพวกนี้ สิ่งจำเป็นที่จะนำไปทุกครั้งก็คือ หูฟัง และ เสื้อกันหนาว โดยหูฟังของผมจะเป็นแบบเอายัดเข้าไปในหู(in ear) ซึ่งมีคุณสมบัติในการขจัดเสียงรบกวนภายนอกได้ชะงักนัก ส่วนเสื้อกันหนาวก็แน่นอนว่าเอาไปใส่กันหนาว อุปสรรคอย่างแรกของการ"นั่งร้านกาแฟ"ที่ผมได้ค้นพบคือ เมื่อเวลาที่เรานั่งไปนานๆมันมักจะหนาวขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเสื้อกันหนาวจะช่วยเพิ่มความอึดให้เราสามารถนั่งได้นานขึ้น และความหนาวนี้เองมีส่วนนำพาไปสู่อุปสรรคอย่างที่สอง นั้นคือ การปวดปัสสาวะ อุปสรรคประการนี้นับว่าอันตรายมากเพราะปวดแล้วมันจะลุกลี้ลุกลน หัวสมองมันจะตื้้อ ตีบ ตัน มันจะคิดไม่ออกเขียนไม่ได้ และด้วยความที่ร้านกาแฟที่ยู่ในห้างส่วนใหญ่จะไม่มีห้องน้ำในตัวจึงต้องไปเข้าห้องน้ำของทางห้างทำให้เกิดปัญหาว่า ทิ้งของไว้ก็กลัวจะหายจะเก็บของไปด้วยก็กลายเป็นลุกเสียม้าไป เมื่อเข้าห้องน้ำเสร็จจะกลับมานั่งใหม่ก็อาจต้องซื้อตั๋ว(กาแฟ)เข้าไปนั่งใหม่ ซึ่งอย่างที่บอกราคาค่างวดก็ไม่ใช่น้อย รังจะฝืนนั่งต่อไปก็ทรมานงานออกมาก็ไม่ดี สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนกลับไปเขียนต่อที่บ้านด้วยอุปสรรคประการนี้บ่อยครั้งไป (ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าคุณไม่ได้ไปคนเดียว แต่อาจเกิดกรณีใหม่ขึ้นมาเช่น คนที่ไปด้วยเบื่ออยากกลับบ้านอะไรทำนองนั้น) เท่าที่ทำได้ตอนนี้ก็แค่พยายามไม่ทานนำ้มากทั้งก่อนและระหว่างที่นั่งอยู่ที่ร้านกาแฟ ก็ช่วยได้ระดับหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะฉนั้น ผมเปิดรับความคิด,ไอเดียอะไรเหมาะๆดีๆเกี่ยวกับการแก้ปัญหานี้นะครับ ใครมีกลเม็ดเด็ดพรายอย่างไร รบกวนช่วยสงเคราะห์จะถือเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ

..........ทุกวันนี้ผมติดใจการไป"นั่งร้านกาแฟ"นี้อยู่พอสมควรทีเดียวครับ ในหนึ่งสัดาห์จะต้องไปนั่งซักวันสองวันเป็นปกติ ซึ่งกิจกรรมนี้อาจจะไปขัดกับวิกฤตการเงินการคลังที่กำลังประสบอยู่บ้าง แต่ก็ยังตัดไม่ได้ครับยังต้องคงไว้อยู่ ประการหนึ่งเกี่ยวข้องกับการที่หมั่นเขียนบทความเกี่ยวกับภาพยนตร์อยู่ทุกวันนี้ ด้วยความที่เป็นคนขี้ลืมพอประมาณ ดังนั้นหลังจากชมภาพยนตร์จบออกมาจากโรง จึงต้องรีบหาร้านกาแฟนั่งเพื่อจะได้อาศัยความสดใหม่ที่พึ่งได้รับมาหมาดๆจากภาพยนตร์ ช่วยทำให้เขียนได้คล่องขึ้นก่อนที่บางอย่างบางตอนจะถูกหลงลืมไป ก็เกิดเป็นสุทรียะส่วนตัวในร้านกาแฟขึ้นด้วยประการนี้ ผมเชื่อมั่นว่ารูปแบบการ"นั่งร้านกาแฟ"นี้ไม่ได้มีผมคนเดียวครับที่นิยมต้องมีอีกหลายคนแน่ๆที่เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณของผม


ไม่นานมานี้ครับ ผมได้ไปพบปะกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมอีกคนหนึ่งในงานฉลอง100ปีตึกยาว(เป็นงานของโรงเรียนเก่าผมเอง) ก็ได้พูดคุยถามไถ่กันไปตามเรื่องตามราว ผมก็ได้เล่าเรื่องการ"นั่งร้านกาแฟ"นี้ ให้เพื่อนฟัง เช่นเดียวกันเลยครับ เพื่อนงงผมเหมือนกับที่ผมเคยงงเพื่อน(อีกคน) มันบอก "มึงมีบ้าน ทำไมมึงไม่นั่งทำที่บ้านวะ" ผมยังนึกขำในใจ สักวันหนึ่งเถอะ สักวันหนึ่งอาจเป็นทีของมัน แล้วมันจะเข้าใจบ้างเหมือนผม.....

No comments:

Post a Comment