Thursday, June 23, 2011

SUPER 8

ต้องยอมรับก่อนเลยครับว่า ก่อนหน้าที่จะได้เข้าไปดูเรื่องนี้ ทุกครั้งที่เห็นตัวอย่างหนัง"ฉากที่เห็นประตูรถไฟซึ่งมีสัญลักษณ์กองทัพอากาศสหรัฐที่เป็นรูปดาวอยู่บนลายธงชาติทันใดนั้นประตูเหล็กก็เกิดการปูดผิดรูปจากการกระแทกอย่างแรงของอะไรซักอย่างที่อยู่ด้านในซึ่งแวดล้อมด้วยบรรยากาศที่ดูน่าจะอยู่ในฉากการสู้รบ" ผมจะเกิดความเข้าใจไปว่ากำลังดูตัวอย่างของ"กับตันอเมริกา"ไปเสียทุกครั้ง(เป็นการคิดไปเองของผมแต่เพียงผู้เดียวไม่ไช่ว่าตัวอย่างเค้าไม่ดีแต่อย่าใด) และไม่ได้ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากเท่าใดนัก รู้คร่าวๆว่าเป็นเรื่องราวที่มีกลุ่มเด็กที่นำกล้อง super8 ไปถ่ายทำหนังกันตามประสาเด็กแต่บังเอิญไปถ่ายติดเอาเหตุการณ์ที่เป็นความลับของกองทัพเกี่ยวกับตัวประหลาดหรือมนุษย์ต่างดาวเข้าให้ จนสุดท้ายกลายเป็นเรื่องราวในทำนองเอเลี่ยนบุกโลกเพียงเท่านั้น แต่ที่ไปดูก็เพราะมีสิ่งที่สนใจอยู่คือ 1) น้อง Elle น้องสาวของ ดาโกต้า เฟนนิ่ง ซึ่งเคยเห็นภาพของเธอ(ตอนยังเด็กๆกว่าปัจุบันนี้)ออกมาตามอินเตอร์เน็ทอยู่เนืองๆดูน่ารักน่าชังไม่น้อย(หลังจากดูหนังจบออกมาจากโรงผมได้ยืนดูดิสเพลย์ของหนังเรื่องนี้หน้าโรงหนัง เค้าฉายบทสัมภาษณ์เธอโดย พีเค อยู่ (ว๊าว พีเคได้ไปสัมภาษณ์ด้วย) ถึงได้รู้ว่า ดาโกต้าพี่สาวเธอก็เล่น war of the world ให้ สปีลเบอร์ก ตอนอายุเท่าเธอตอนนี้เป๊ะเลย(ฮั่นเน่! ลุงสปีลเบิร์กเล่นเคล็ดอะไรหรือเปล่าเนี่ย) 2) ผกก J.J. Abrams (ควบตำแหน่งเขียนบทด้วย) ซึ่งถ้าพูดถึงชื่อชั้นจากงานที่ผ่านมาที่เค้าโฆษณากันอย่าง Misson Impossible3 หรือ Star Trek นั้นส่วนตัวแล้วไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่ ซีรีย์ที่ทำเอาอดหลับอดนอนนั่งดูทั้งคืนแถมยังมีหลายครั้งที่แทบคลั่งเมื่อมันจบลงในแต่ละตอนและพูดติดปากบ่อยๆว่าคนคิดเรื่องมันคิดได้ยังไง อย่าง Lost ที่เขาทั้งเขียนบทและกำกับเองนี่สิทำให้ผมต้องดูเรื่องนี้ให้ได้ และ3) กล้อง super8 เพราะส่วนตัวชอบอารมณ์ที่ได้จากกล้องพวก8mmนี้เป็นทุนเดิมทำให้อยากรู้ว่าในหนังจะเสนออะไรที่น่าสนใจเกี่ยวกับกล้องนี้ออกมาบ้างหรือไม่

ตัวหนังดำเนินเรื่องราวของเหตุการณ์"สัตว์ประหลาดหลุดมาอาละวาด"ควบคู่ไปกับเรื่องราวชีวิตของเหล่าตัวละครหลักๆ ซึ่งมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ต่อกันหลังสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปโดยที่ให้น้ำหนักไปที่ประเด็นหลังมากกว่าเรื่องของมนุษย์ต่างดาว ดังนั้นหากใครที่ตั้งใจว่าจะไปดูหนังสู้กับสัตว์ประหลาดต่างดาวก็คงจะผิดหวังกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉากแอ็กชั่นจะดูง่อยเปลี้ยน่าเบื่อแต่อย่างใดเพราะก็ไม่ได้เสียชื่อป๋าสปีลเบอร์กแกแหละครับอันที่จริงแล้วก็จัดเป็นหนังแอ็กชั่นฟอร์มดีเลยทีเดียว(ไม่รู้ทำไมบ้านเราถึงโปรโมตน้อยกว่าหนังอึ๋มทะลุจอ) แต่ถ้าพูดกันตามตรงแล้วก็นับว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่นักทั้งเรื่องเอเลี่ยนบุกโลก,เรื่องโครงการลับที่ทางการปิดบัง,ความสัมพันธ์พ่อลูกที่ง่อนแง่นในตอนแรกแล้วมาเข้าใจกันในภายหลัง หรือการให้อภัยคนที่เป็นต้นเหตุของการจากไปของคนที่รักในท้ายเรื่อง รวมไปจนถึงเรื่องราวของกลุ่มเด็กๆที่ถ่ายทำภาพยนต์กันเอง ล้วนไม่ได้แปลกใหม่อะไรแถมประเด็นเหล่านี้ทั้งหมดได้เคยถูกนำไปชูเป็นประเด็นหลักของหนังเรื่องอื่นมาแล้ว(บางประเด็น หลายเรื่องแล้วด้วยซำ้) แต่น่าแปลกที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าเบื่อแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าหนังดูสนุกและมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราว(พี่พอจะเดาออก)ได้อย่างดีทีเดียว ทั้งหมดนี้คงต้องยกความดีความชอบให้แก่บทโดยรวมของหนังซึ่งถ่ายนำ้หนักของแต่ละประเด็นได้ในสัดส่วนที่ดีเยี่ยมอย่างเช่น"โจ"ตัวเอกของเรื่องที่เป็นเด็กมีปมเพราะการจากไปของแม่ก็ไม่ได้ดูเก็บกดหรือโหยหาอาวรณ์แม่จนน่ารำคาญแต่กลับเป็นตัวละครซึ่งมีมิติน่าสนใจเพราะภายนอกเขาแสดงออกถึงความแข็มแข็งและใช้ชีวิตต่อไปเป็นปกติให้ทุกๆคนในเมืองที่ล้วนเป็นห่วงเห็นว่าตัวเค้าแองนั้นสบายดีทั้งที่จริงๆแล้วเขายังคงเก็บสร้อยคอของแม่ไว้ติดตัวตลอดเวลาและทุกครั้งที่รู้สึกไม่ปลอดภัยหรือมีปัญหาไม่สบายใจใดๆเค้าจะนำมันออกมาถือไว้ในมือให้ได้รู้สึกเหมือนแม่ยังอยู่กับเขาแสดงให้เห็นว่าบาดแผลในใจของโจยังคงมีอยู่และสร้อยเปรียบเสมือนตัวแทนของแม่ซึ่งโจยึดถือเอาไว้เป็นดั่งที่พึ่งเดียวของเขาขณะที่ในความเป็นจริงเขายังมีพ่ออยู่แต่สำหรับโจแล้วพ่อยังไม่สามารถทำหน้าที่ในส่วนนี้ได้ ภาพของโจที่ดูเปราะบางลึกๆแต่ยังมีความสุขกับชีวิตได้ทำให้เราเอ็นดูและพยายามเอาใจช่วยเขาไปตลอดทั้งเรื่อง หรือในส่วนของรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในหนังเช่นกลุ่มเพื่อนของโจซึ่งแต่ละคนในแก็งมีคาเรกเตอร์ของตัวเองชัดเจน(ซึ่งแทบเป็นสูตรสำเร็จ)มีเจ้าตัวที่พูดมาก มีเด็กจอมปอด มีเด็กที่บ้าอ่ะไรซักอย่างมากๆ(ในเรื่องนี้คือบ้าการทำหนัง) แต่บทบาททั้งหมดไม่มีคนไหนที่ล้นเกินไปจนน่ารำคาญ อีกทั้งการที่โจปิ๊งกับสาวน้อย อลิส ก็ทำออกมาดูน่ารักน่าลุ้นดีอีกด้วย ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าหนังเรื่องนี้มีการวางสัดส่วนที่ลงตัวในหลายๆด้านทำให้โดยรวมแล้วเป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกและสร้างความประทับใจไว้พอสมควรทีเดียวหลังจากดูจบ


ประเด็นหนึ่งที่ผมได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นในฉากที่โจและพ่อของเขาทะเลาะกันซึ่งเป็นจุดไคล์แม็กของความสัมพันธ์พ่อลูกที่ดูง่อนแง่นมาตั้งแต่ต้น พ่อของโจซึ่งก็ยังคงมีบาดแผลจากการจากไปของภรรยาเช่นเดียวกันกับโจ และแสดงออกโดยการทำงานหนักและยังไม่ให้อภัยผู้ที่มีส่วนกับการเสียชีวิตของภรรยาของเขา ในตอนที่พ่อสั่งไม่ให้โจไปยุ่งเกี่ยวกับลูกสาวของผู้ที่มีส่วนกับการเสียชีวิตของภรรยา โจได้ปฏิเสธที่จะทำตามและต่อต้านความคิดของพ่อ ทำให้พ่อของเค้าพูดในทำนองว่า ในตอนนี้ตัวเขาเองต้องรับภาระหน้าที่ทางการงานอันหนักหนามากพออยู่แล้วอย่าทำตัวเป็นปัญหาอีกเลยและออกจากบ้านไป เหตุการณ์นี้ทำให้ผมตระหนักได้ว่า ในหลายครั้งคนเรานั้นมักจะมองปัญหาของตนเองเป็นศูนย์กลางและเห็นมันยิ่งใหญ่เสียเหลือเกินจนไปบดบังปัญหาหรือกระทั่งตัวตนของคนอื่น ซึ่งแท้จริงแล้วคนทุกคนมีปัญหาของตนกันทั้งนั้นและบางคนมีปัญหาที่หนักหน่วงกว่าปัญหาของเราหลายเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้คนรอบตัวที่เรารักที่เราให้ความสำคัญต่อเขา การที่เราจะอยู่ด้วยกันเราก็ควรที่จะพยายามมองปัญหามองสิ่งที่เค้าต้องแบกรับเมื่อถึงเวลาที่เราไม่เข้าใจกันเราก็ควรที่จะถอยหลังจากปัญหาของเราสักก้าวสองก้าวให้เราได้มองเห็นและรับรู้ถึงปัญหาของเขาเหล่านั้นเพื่อความเข้าใจกัน เพื่อช่วยกันรับมือกับสิ่งที่ต้องเผชิญ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ การก้าวออกมาจากปัญหาของตนเพียงชั่วครู่น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ได้หนักหนาเกินไปนักที่เราจะเสียสละให้แก่คนที่เราคิดว่ามีความสำคัญต่อเรา ซึ่งพ่อของโจเอง ลึกๆในใจของเขาแล้วปัญหาที่หนักที่สุดที่เค้าต้องแบกรับไม่ใช่ภาระหน้าที่ทางการงานที่เขาต้องรับผิดชอบ แต่เป็นความเหงาจากการสูญเสียภรรยา(เห็นได้จากที่เขายังคงแอบร้องให้อยู่คนเดียว) ในขณะที่โจเองก็ยังคงคิดถึงแม่และยังไม่มีความรู้สึกว่าพ่อจะสามารถเติมเต็มในส่วนของแม่ที่จากไปได้จึงยังเก็บสร้อยที่เป็นตัวแทนของแม่เอาไว้ ซึ่งแท้จริงแล้วแต่ละฝ่ายก็คือยาที่จะสมานแผลของอีกฝ่ายได้อย่างดีที่สุด ดังนั้นเพียงแค่เราไม่มองปัญหาของเราเป็นศูนย์กลางและเปิดรับปัญหาของคนที่เรารักก็จะทำให้การอยู่ด้วยกันของคนเรามีความหมายและมีคุณค่าต่อกันสามารถฝ่าฟันไปพร้อมกันได้อย่างมั่นคง ดั่งเช่นในท้ายที่สุด ที่โจยอมปล่อยมือออกจากสร้อยของแม่หลังจากพ่อของเขาบอกกับเขาว่า "เรามีกันและกันนะลูก"
ปล.สำหรับน้อง Elle ก็ไม่ผิดหวังครับแสดงได้น่ารักทีเดียวและดูถ้าจะออกตัวได้ดีเสียด้วย(สำหรับผมคิดว่าออกตัวได้ดีกว่าพี่สาวเธอนะครับ)ต้องรอดูกันต่อไปขอเอาใจช่วยน้อง Elle ไว้ ณที่นี้ครับ อ่อเรื่องกล้องsuper8 ก็ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากมายเท่าไหร่นักแต่แอบกระซิบว่าหนังจบแล้วอย่าพึ่งรีบลุกไปไหนกันครับรอดูอารมณ์จากกล้องสุดคลาสสิกนี้กันแบบน่ารักน่าเอ็นดูกันครับ...

No comments:

Post a Comment