Saturday, June 25, 2011

GREEN LANTERN

ด้วยความที่ชื่นชอบเรื่องจำพวกซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีพลังวิเศษเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่มีภาพยนตร์แบบนี้เข้ามาไม่ว่าจะมาจากจักรวาลไหน(มาเวลหรือดีซี) ก็ตื่นเต้นและอยากจะไปดูทุกเรื่องไป ซึ่งก็ต้องถือว่าโชคดีมาก เพราะช่วงชีวิตที่ยังสามารถดูหนังได้จัดๆแบบในขณะนี้ (ช่วงยังเยาว์กว่านี้หากใช้ทุนทรัพย์จากบุพการีไปถลุงเข้าโรงหนังขนาดนี้ อาจถูกขี้เถ้ายัดปากเอาได้ และรุ่นพี่หลายคนเปรยให้ฟังบ่อยๆว่า ระยะหลังนี้ไม่ได้เข้าโรงหนังเลยบ้างหล่ะมีลูกมีเต้าแล้วได้ดูแต่การ์ตูนบ้างหละ)เป็นยุคที่เหล่าซุปเปอร์ฮีโร่พากันกระโดดออกมาจากหนังสือการ์ตูนเป็นทิวแถว แถมมีโปรเจคใหญ่ๆรอคอยให้ติดตามกันอีกมาก พาให้ชื่นหัวใจว่าจะได้สนุกกันไปอีกนานหล่ะครับ
พูดถึงเรื่องชื่นหัวใจแล้ว ก็อยากจะกล่าวสรรเสริญเหล่าผู้สร้างหนังทั้งหลายที่ช่างเข้าอกเข้าใจดีเสียเหลือเกิน ว่าเด็กผู้ชายนอกจากจะชอบซุปเปอร์ฮีโร่แล้วยังมีอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ ใช่แล้วครับเราขอขอบคุณตั้งแต่ที่คุณนำเมเกน ฟอกซ์ มาซ่อมรถ นำ นาตาลี พอต์แมน มาปิ๊งคนตัวใหญ่ถือค้อนแปลกๆ และนำ เบล้ค ไลฟลี่ มารวบผมใส่ชุดราตรีในหนังเรื่องนี้(แฟนๆน้องเบล้คห้ามพลาด)เราขอบคุณมากและขอให้รักษาความดีนี้ไว้ตลอดไปครับ
ในระยะหลังภาพยนต์แนวนี้มักจะโดนค่อนแคะในเรื่องความอ่อนของบทอยู่เสมอ แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็เช่นกัน ผมเองก็รู้สึกอย่างนั้นจนหลังๆก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าเป็นหนังประเภทนี้แล้ว ก็จะถือว่ามาดูเอาสนุกไป คิดว่าเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะการ์ตูนแต่ละเรื่องที่ถูกหยิบมาสร้างเป็นภาพยนต์ล้วนแล้วแต่มีอายุอานามกันไม่ใช่น้อย เรื่องราวเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก็มากมายพันเกี่ยวกันอีรุงตุงนังไปหมด จากการผ่านร้อนผ่านหนาว หนังสือถูกทำให้จบ ถูกปลุกให้ฟื้น ถูกพาไปรวมกันเรื่องนั้นเรื่องนี้กันวุ่นวาย ทำให้การจะประกอบร้อยเรียงขึ้นมาเล่าในลักษณะภาพยนตร์นั้น จึงยากในการเลือกว่าจะไปหยิบยกเอาจุดไหนช่วงไหน หรือจะเลือก"เชื่อ" เรื่องราวจากเล่มไหนดีทำให้ออกมาขาดๆเกินๆไปก็บ่อย และเนื่องด้วยเป็นการ์ตูน บางครั้งที่มาที่ไปหรือเหตุผลบางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมาตอนนั้นอาจจะแปร่งๆแปลกๆไปบ้าง พอนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ก็เกิดอาการเกรงใจต้นฉบับรวมถึงแฟนๆกันขึ้น จึงไม่กล้าเปลี่ยนหรือใส่อะไรเพิ่มลงไปมากมายก็เป็นได้ แต่ถึงกระนั้นก็ตามผมก็ยังไม่เชื่อว่าหนังซุปเปอร์ฮีโร่(จากหนังสือการ์ตูนหรือเกมส์)จะมีบทดีๆแน่นๆไม่ได้และจนกว่าหนังเรื่องนั้นจะมาถึงก็ขอดูเอาสนุกไปก่อนก็แล้วกันครับ
ว่าไปไกลทีเดียว กลับมาที่ฮีโร่ตะเกียงเขียวกันดีกว่า ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีสิ่งหนึ่งสะกิตใจผม คือในตอนที่ ฮาล จอร์แดน บอกกับเหล่าการ์เดี้ยนผู้สูงส่งว่าบนโลกมีคำหนึ่งคำที่ชอบพูดกันคือ "เราเป็นเพียงมนุษย์" ด้วยว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้น มนุษย์มิอาจบังคับหรือล่วงรู้ได้ จึงเจียมตัวว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเรามากนัก ทำให้เรายังมีความกลัวและเราก็ยอมรับว่าเรากลัวเพราะ"เราเป็นเพียงมนุษย์" สำหรับฮาลนั้นแหวนได้เลือกเขาเพราะเห็นบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ในตัวเขา ซึ่งเขาเองก็ยังไม่เห็นมันและในตอนแรกเขายังมีความกลัวอยู่ ซึ่งดูจากจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังฮาลทำเครื่องบินตก ที่หลานของเขาถามว่าเขากลัวหรือไม่และเขาได้ตอบว่า ตามหน้าที่แล้วเขากลัวไม่ได้ หรือเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับแครอล ซึ่งต้องจบลงไปทั้งๆที่ก็ดูว่าทั้งสองคนยังคงมีใจให้กันอยู่ โดยที่ตัวฮาลเองโทษในความเป็นคนไม่รับผิดชอบของตน แต่แท้จริงแล้วแครอลบอกว่ามันเป็นเพราะเค้ากลัวว่าจะรักเธอมากเกินไปกว่านี้ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าความกลัวของเขาคือกลัวที่จะยอมรับว่าตัวเองกลัวนั้นเอง และเมื่อเขายอมรับและหันหน้าเข้าสู้กับความกลัวนั้น จึงทำให้เกิดความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ซึ่งในหนังบอกว่าสิ่งนี้แหละคือพลังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ทำให้ผมคิดเห็นด้วยว่าในบางเวลาที่คนเรากลัวอะไรซักอย่าง แล้วเราเพิกเฉยกับความกลัวนั้นมันไม่เคยจะทำให้ความกลัวเหล่านั้นหายไปหรือแม้จะบรรเทาลงก็เพียงไม่นาน ซำ้ร้ายอาจยิ่งเป็นการพอกพูนความกลัวเหล่านั้นขึ้นอีกด้วยซ้ำ แต่หากเราหันหน้าเข้าเผชิญกับความกลัวนั้นๆ อาจจะทำให้เราเอาชนะมันได้ในที่สุดหรืออย่างน้อยก็เข้าใจมันยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่นเมื่อก่อนนี้คนเราอาจจะกลัวฟ้าผ่า กลัวเสียงที่แผดดังกึกก้อง กลัวแสงสว่างจ้า กลัวอานุภาพที่รุนแรงจนพื้นดินสะเทือนของมัน แต่เมื่อเราเผชิญกับมัน ค้นหา ศึกษามัน จนในที่สุดเราก็สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ และเกิดสายล่อฟ้าขึ้นมาในปัจจุบันเป็นต้น แสดงให้เห็นว่าถ้าเรากล้ายอมรับและเผชิญกับความกลัวก็อาจจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในตัวฮาลที่แหวนมองเห็น น่าจะเป็นจินตนาการแบบ"อาร์ทตัวพ่อ"ของเขาตอนเสกสิ่งต่างๆออกมาเวลาคับขันเสียมากกว่า อย่างเช่น ใส่ล้อ สร้างรางให้คอปเตอร์มั่งหล่ะ คนจะตกลงพื้นสร้างนำ้มารับบ้างหล่ะ(ผมคิดได้แค่เบาะเอง) จิตนาการเฮียสูงส่งมากๆขอคาราวะ
มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากกล่าวถึงคือ อันที่จริงแล้วยังมีฮีโร่ตัวจริงที่ช่วยนำพาบรรดาเรื่องราวในหนังสือการ์ตูนอันเป็นที่รัก ออกมาโลดแล่นอยู่ในโลกภาพยนตร์อยู่อีกกลุ่มหนึ่ง ฮีโร่เหล่านี้นับเป็นฮีโร่ที่น่าสงสารเพราะไม่ได้โด่งดังนามกระฉ่อน บินฉวัดเฉวียนให้ผู้คนปรบมือกู่ร้องหลังจากปฏิบัติภาระกิจจบในแต่ละครั้ง แต่ต้องยืนอยู่บนพื้นที่ห่างๆที่แม้จะได้ยินเสียงชื่นชมแต่ไม่ค่อยมีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาเท่าใดนัก ฮีโร่กลุ่มนี้ก็คือ CGI และแหล่าศิลปิน CGI นั้นเอง ทุกวันนี้CGIถูกพัฒนามาถึงระดับที่เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในภาพยนต์อีกแล้ว ลำแสงนั่น พลังโน้น ดาวนี่ จึงไม่ได้อยู่นิ่งๆบนหน้ากระดาษอีกต่อไป (เรื่องนี้หน้ากากดั่งใจนึกของฮาลเดี๋ยวมาเดี๋ยวหายบนหน้าแบบคาๆตาจนพาสงสัยว่าเดี๋ยวนี้มันทำได้ขนาดนี้เชียวหรือ) ซึ่งปัจจุบันนี้หนังเรื่องหนึ่งใช้ CGIกันในสัดส่วนที่มากขึ้นบางเรื่อง 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ (ไม่นับ animation หรือ ภาพยนต์ที่เป็น CGI ล้วนๆนะครับ) แต่เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่า(ข้อมูลจากนิตยสารFILMAXประจำเดือน มิถุนายน)ประธานสมาคมวิชวลเอฟเฟกต์ อีริค รอธ เขียนจดหมายเรียกร้องความยุติธรรมจากบรรดาสตูดิโอทั้งหลาย ว่าด้วยเรื่องของการเรียกร้องสิทธิ์ของศิลปินCGI ซึ่งปัจจุบันถูกบังคับให้ทำงานหนักในเวลาที่น้อยเกินไปเพราะต้องการเร่งให้หนังเสร็จตามกำหนดฉายที่วางไว้ (เค้ายกเรื่องGreen lanternนี้ขึ้นมาเป็นตัวอย่างด้วยว่าเกือบทำวิชวลเอฟเฟกต์ไม่ทัน) แล้วยังได้ค่าตอบแทนที่ไม่เหมาะสม สวัสดิการก็ไม่ดี แถมยังไม่ได้รับเครดิตที่สมควรจะได้รับ (รอบที่ผมเข้าไปดูนี้ชื่อคนที่เกี่ยวข้องในด้าน CGI ขึ้นมาตอนที่นอกจากผมทุกคนออกจากโรงไปหมดแล้ว) ซึ่งน่าเห็นใจมากครับ ผมเองก็มีเพื่อนที่ทำงานด้านนี้อยู่บ้างก็พอเข้าใจ และขอเป็นกำลังใจให้เหล่าศิลปินCGIครับ คนเราทำงานหนักได้ด้วยใจคนที่ปิดทองหลังพระก็สมควรจะต้องมีเงินไปซื้อทองครับ.....

3 comments:

  1. อ่านแล้วปวดตาวะไอ้โม แนะนำให้เว้นบรรทัด หรือเว้นวรรคมากกว่านี้นิด 1

    แต่บทความเขียนดีวะ

    ReplyDelete
  2. ฮะ ขอบคุณมากฮะ จำพยายามปรับปปรุงตามนั้นครับผม

    ReplyDelete

  3. ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ คาสิโนระดับมาตรฐาน ที่ให้บริการในแบบ คาสิโนออนไลน์ และรวบรวมบริการเกมส์ ถ่ายทอดสดออนไลน์จาก คาสิโน ชื่อดัง https://www.111player.com

    ReplyDelete