Thursday, August 30, 2012

บทความ : ออกเดินทาง


          เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมามีโอกาสที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งเข้ามาในชิวิตผม ซึ่งตัวผมเองไม่แน่ใจนักว่าโอกาสลักษณะที่ว่านี่ จะถือว่ายิ่งใหญ่สำหรับทุกคนหรือไม่เพราะอันที่จริงแล้วมันอาจเป็นเรื่องสุดแสนธรรมดาของใครหลายๆคน แต่มันเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับผมอย่างแท้จริง และมันก็ได้มอบประสบการณ์ที่มีผลเป็นอย่างมากต่อชีวิตของผมเลยทีเดียว โอกาสที่ว่านี่คือ "ผมได้เดินทางไปต่างประเทศ"

อันที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิต ผมเคยไปต่างประเทศมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกผมมีโอกาสได้ไปทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทยเราครับ "สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว" คราวนั้นผมออกจากประเทศไทยที่จังหวัดหนองคาย เข้าสู่"เวียงจันท์" จากนั้นก็ทำงานล่องขึ้นทางเหนือไปเรื่อยๆจนไปสิ้นสุดที่"หลวงพระบาง" ขากลับก็นั่งรถตู้กลับกรุงเทพโดยแวะพัก 1 คืนที่เวียงจันทร์ ถึงแม้ว่าจุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนั้นคือการไปทำงาน แต่มันก็ยังทำให้ผมรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก  งานในคราวนั้นขึ้นแท่นเป็นงานที่สนุกที่สุดในชีวิตการทำงานของผมจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีงานใหนมาล้มแชมป์ลงได้ อีกทั้งประเทศ"สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว" ก็ยังเป็นประเทศที่น่ารักเป็นอย่างมากในความทรงจำของผมอีกด้วย

แต่เหนืออื่นใด สิ่งที่ประทับใจผมมากที่สุดคือ"การเดินทาง" เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมได้รู้ว่า การเดินทางมันช่างเป็นอะไรที่สุดแสนจะสนุก ตื่นแต้น และมีความสุขมากๆ แม้ว่าสถานที่ๆเดินทางไปนั้นมันจะไม่ได้ไกลอะไรมาก ผู้คนก็เหมือนๆคนบ้านเรา แต่กลับรู้สึกว่าความแตกต่างเพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น สามารถทำให้รู้สึกตื่นเต้น และก่อให้เกิดความอัศจรรย์ใจได้ไม่ใช่น้อย จนพามาซึ่งความสุขใจที่ได้มาพบเห็นด้วยตาของตัวเอง หลังจากกลับมาจากการเดินทางครั้งนั้น ผมก็มั่นใจว่าตัวเองเป็นคนที่ชื่นชอบหลงใหลการเดินทางคนหนึ่ง และมีความคิดว่าในชีวิตของผมต่อไปจากนี้ไปจะต้องหาเรื่องออกเดินทางอีกเยอะๆ ออกไปพบไปเห็นให้มากๆให้ทั่วๆที่สุดเท่าที่จะทำได้



การเดินทางไปต่างประเทศครั้งที่ 2 ของผม ไกลจากประเทศไทยออกไปอีกนิดหน่อย "เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน "(ชื่อยาวมากขอขอบคุณวิกิพีเดีย) อันที่จริงแล้วการเดินทางครั้งนี่ยังมีหลักใหญ่ใจความเป็นเรื่องงานเช่นเดียวกันกับครั้งแรก แต่หากจะพูดให้พอนึกภาพออกก็เอาเป็นว่า ผมได้รับมอบหมายจากที่ทำงาน(ที่น่ารัก)ให้เป็นผู้ส่งพัสดุไปยังฮ่องกงโดยที่ ที่ทำงาน(ที่น่ารัก)จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินไป-กลับ(ของตัวผมเองบวกผู้ติดตามอีก1ท่านด้วย น่ารักไหมเล่า)พร้อมกับที่พัก 1 คืน โดยเมื่อผมทำหน้าที่ส่งพัสดุเรียบร้อยแล้ว(ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่ต้องจัดการปฏิบัติทันทีเมื่อไปถึง) ช่วงเวลาที่เหลือจนกว่าจะถึงเวลากลับ คือประมาณ 2 ทุ่มของอีกวัน(รวมแล้วมีเวลาประมาณ1วันครึ่ง)นั้นเป็นอิสระของผมที่จะเที่ยวไปดู,ไปทำอะไรก็ได้ตามแต่ที่อยากไป ถึงแม้ครั้งนี้จะเป็นการเดินทางที่มีเวลาเพียงสั้นๆแค่ไม่ถึง 2 วันดี แต่ความประทับใจก็ยังเต็มเปี่ยมไม่ต่างจากครั้งแรกแต่อย่างใด

การเดินทางหนนี้"ความแตกต่าง"ของสิ่งที่พบเห็นมีมากขึ้น ความแตกต่างในที่นี้ของผมหมายถึงความแตกต่างระหว่างสถานที่นั้นๆกับชีวิตปกติประจำวัน โดยครอบคลุมไปทุกอย่างทั้ง ผู้คน ภาษา สิ่งแวดล้อม อากาศ กิจวัตรความเป็นอยู่ เหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งพอความแตกต่างมีมากขึ้น มันก็คือความแปลกใหม่ที่ได้พบ ความตื่นเต้นก็มีมากขึ้นตามไป ตอกย้ำความรื่นรมย์ของการออกไปท่องเที่ยวเข้าไปอีก การเดินทาง 2 ครั้งที่ผ่านมาต่างก็สร้างความประทับใจให้ได้เก็บไว้ในความทรงจำด้วยกันทั้งนั้น พาให้วาดฝันว่าจะเป็นอย่างไรถ้าได้ไปในที่ที่มันแตกต่างมากกว่านี้ แปลกใหม่มากกว่านี้ และยังมั่นใจได้ว่าการเดินทางทุกๆครั้งต่อไปในชีวิตจะต้องเกิดความทรงจำที่น่าประทับใจขึ้นอย่างแน่นอน




          และแล้วการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ขึ้นก็ได้มาถึง คราวนี้สถานที่ๆจะไปมันไกลกว่าที่เคยมาก แถมมีระยะเวลาที่ยาวนานได้ใจเมื่อเทียบกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา จุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้คือการไปร่วมในงานรับประกาศษณียบัตรสำเร็จการศึกษาของพี่ชาย(ลูกพี่ลูกน้อง)ของผม ณ ประเทศเยอรมันนีโดยจะถือโอกาสไปเยี่ยมบรรดาญาติๆที่นั้นและเที่ยวไปด้วยในตัว โดยมีกำหนดเวลาเกือบ 1 เดือนเต็มๆสำหรับการเดินทางครั้งนี้ แถมยังจะได้เดินทางไปเที่ยวที่ประเทศใกล้เคียงอย่างฝรั่งเศษอีกด้วย  เกือบ1เดือนเต็มในยุโรปที่ซึ่งไกลจากบ้านเป็นซีกโลก เวลาต่างกัน 5 ชม สิ่งที่ผมจะได้ไปพบเจอ ความแตกต่างที่ผมจะได้สัมผัส ความแปลกใหม่ที่รออยู่เป็นภูเขาเลากา สำหรับผมแล้วนี่เป็นโอกาสและเป็นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ไปเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเก็บกระเป๋าซะด้วยซ้ำไป



          ในเวลาที่คนเราได้ออกเดินทางไปจากชีวิตประจำวันของตนเองในแต่ละครั้ง ผมคิดว่า ณ เวลานั้นเราได้เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ได้ถึงขนาดแตกต่างเป็นบุคลิกภาพที่ 2 หรืออะไรเหมือนในหนังในนิยาย แต่เป็นอีกคนที่เราไม่ได้เป็น เวลาที่อยู่ในชีวิตปกติประจำวันทั่วๆไป ฟังดูแปลกและเกินจริงใช่ไหมครับ ผมจะลองขยายความดูอย่างนี้แล้วกัน

คนเราเกิดและเติบโตขึ้นมาด้วยการเรียนรู้ ซึมซับหล่อหลอมขึ้นมาเป็นลักษณะนิสัยใจคอ ความคิด,การแก้ปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่าง เราได้มาจากผลลัพธ์ของการเรียนรู้ต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ในช่วงเริ่มต้นเราเรียนสิ่งหลักๆสำหรับชีวิต เช่น การพูด การเดิน การวิ่ง การกินอาหาร อาบน้ำแต่งตัว เราเรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้ในตอนที่เรายังเด็กกันมาก สิ่งที่เราพลาดไปคือเราไม่สามารถ"จดจำ"ได้ว่าตัวเองตื่นเต้นแค่ไหนตอนที่เปล่งเสียงคำแรกออกมาเป็นภาษาคนได้หลังจากพยายามมานานก็ได้แต่อ้อเอ้ๆ หรือเรากลัวจับใจแค่ไหนกว่าจะกล้าทำตัวตรงๆแล้วก้าวเท้าเดินออกไป หลังจากที่คลานอย่างมั่นคงมานาน เราไม่สามารถจดจำความรู้สึกเหล่านั้นได้

และเมื่อเราเริ่มจดจำความได้ โลกก็ช่างเต็มไปด้วยสิ่งที่ตื่นเต้น ขี่จักรยานครั้งแรก ว่ายน้ำครั้งแรก ไปโรงเรียนครั้งแรก ขึ้นรถเมล์คนเดียวครั้งแรก ทั้งหมดถูกเก็บไว้เป็นความทรงจำของเรา จากนั้นพอเราเรียนรู้สิ่งที่สำคัญในการใช้ชีวิตมาหมดแล้ว เราก็นำมันมาใช้ชีวิตไปในแต่ละวัน มันเหมือนกับเราเปิดใช้งานตัวตนแห่งการดำเนินชีวิตอย่างเต็มที่ แล้วเราก็หรี่ตัวตนแห่งการเรียนรู้ของเราลง เราไม่ได้ปิดซะทีเดียวเพราะแน่นอนว่าชีวิตยังมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นต่อไป ถูกต้องที่ชีวิตเราต้องพบกับการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ ทุกครั้งที่สิ่งใหม่เกิดขึ้นเราก็จะเร่งตัวตนของการเรียนรู้ขึ้นมาใช้งาน แต่ลองนึกดูว่าเราจำได้หรือไม่ว่าตัวตนแห่งการเรียนรู้ของเรานี่นี้เร่งได้แรงสุดแค่ไหน และมันจะรู้สึกอย่างไร

และเมื่อเราออกเดินทาง ออกไปจากชีวิตประจำวัน ออกไปจากสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย นั่นมันก็คือเวลาที่ระบบตัวตนของเราทั้ง 2 ระบบนี้ถูกกลับค่ากันอย่างชัดเจน เราต้องเปิดตัวตนแห่งการเรียนรู้อย่างเต็มที่ แล้วยิ่งสิ่งที่พบเจอมันมีความแตกต่างแค่ไหน มันก็ยิ่งเหมือนกลับไปเรียนรู้ใหม่หมด สิ่งที่เคยเรียนรู้มา เคยทำมามันใช้ไม่ได้ ไอ้ภาษาคนที่เคยพูดได้มันไม่มีใครเข้าใจอีกต่อไป อาหารที่เคยทานไม่มีให้ทาน มันเหมือนเรากลับไปในตอนที่กำลังเรียนรู้สิ่งต่างๆเพื่อจะใช้ชีวิตให้ได้อีกครั้งหนึ่ง เรียนรู้สิ่งหลักๆในชีวิตอีกครั้งในแบบที่ต่างออกไป แต่คราวนี้เราจะสามารถจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเอาไว้ได้ ซึ่งตัวตนแห่งการเรียนรู้แบบเปิดเต็มที่นี้แหละ ที่ผมบอกว่าเป็นเหมือนเราอีกคนหนึ่งที่อยู่ในตัวของเราเอง


นอกจากนี้การเดินทางนั้น มักจะทำให้เราได้พบกับคำตอบของหลายอย่างที่เราเคยสงสัย หรือแม้แต่บางอย่างที่เราอาจไม่เคยนึกสงสัย แต่เราก็อาจจะค้นพบได้จากการเดินทาง จริงอยู่ว่าเราสามารถค้นพบคำตอบของสิ่งต่างๆได้โดยไม่ต้องเดินทางไปไหน ยิ่งในสมัยปัจจุบันนี้ด้วยแล้ว เพียงแต่เราอาจจะไม่สามารถ"เข้าใจ"และ"รู้สึก"ถึงเหตุและผลนั้นได้ หรือถึงแม้จะได้ แต่น้ำหนักของมันจะเทียบไม่ได้กับการที่ได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ผมเคยสงสัยว่าทำไม่ฝรั่งถึงชอบนอนอาบแดด (ฝรั่งในที่นี้ของผมหมายถึงชาวต่างชาติที่มีผิวสีขาวโดยครอบคลุมทั้งชาวยุโรป อเมริกา รัซเซีย ออสเตเรีย ฯลฯตามที่คนไทยเรานิยมเรียก เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ และขอให้เข้าใจไปในทางเดียวกันตามนี้นะครับ) และคำตอบที่รับรู้จากการบอกเล่าก็คือ เพราะบ้านเมืองเค้าเป็นเมืองหนาวไม่ค่อยมีแดดอย่างบ้านเรา เค้าจึงไม่ค่อยได้มีโอกาสรับวิตามินจากแสงแดด นั่นเป็นคำตอบสำหรับข้อสงสัยเรื่องฝรั่งอาบแดดที่ประทับลงในความรู้ความเข้าใจของตัวเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คำตอบนั้นมันไม่ได้ผิดครับ แต่มัน"ไม่สุด"

จนถึงวันที่ผมได้ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมของฝรั่งเค้าจริงๆ ผมได้สัมผัสรับรู้ว่าเวลาอากาศหนาว ลมเย็น ของที่นั้นมันเป็นอย่างไร หนาวแค่ไหน (ถึงแม้ว่าช่วงที่ผมเดินทางไปจะตรงกับหน้าร้อนแต่ก็ยังมีบางช่วงที่อากาศเย็นสำหรับผมอยู่ดี) นอกจากนั้นอากาศยังชื้นๆแบบชนิดที่ไม่สามารถทำให้ผ้าที่ซักและตากไว้แห้งสนิทได้ วันไหนที่แดดออก(ซึ่งไม่ได้ออกทุกวัน)ผู้คนก็พากันออกจากบ้านมานั่งๆนอนๆกลางแดดตามสวน,ตามสนามหญ้า,ตามสถานที่กลางแจ้งต่างๆกันเต็มไปหมด เพราะเวลาได้ไปอยู่กลางแดดมันช่างรู้สึกอบอุ่นสบายเสียเหลือเกิน สำหรับฝรั่งความสบายมันเป็น"อบอุ่นสบาย"ครับ ของบ้านเราเป็น "เย็นสบาย" และหากไม่ได้ไปสัมผัสเองผมก็คงนึกไม่ออกหรอกครับว่า อบอุ่นมันจะสบายได้อย่างไร สบายได้ถึงแค่ไหน เพราะที่นั่นเวลานั้น ผมเองก็วิ่งเข้าหาแดดไปกับเค้าด้วยเช่นกันครับ


สิ่งที่ค้นพบนอกเหนือไปจากนั้นก็คือ แดดที่นั้นไม่ได้มีความแรงเท่าแดดบ้านเรา วันหนึ่งผมมีความจำเป็นต้องไปเข้าคิวเพื่อชมสถานที่ท่องเที่ยวสถานที่หนึ่งใน"ปารีส" ซึ่งวันนั้นมีคนเข้าชมเยอะมากและผมต้องยืนอยู่กลางแดดเป็นเวลา 2 ชั่วโมงกว่า หากเป็นบ้านเราเรื่องที่ตัวจะดำขึ้นนี่ไม่ต้องพูดถึง แถมผิวคงจะมีการไหม้เกิดขึ้นบ้างอย่างแน่นอน แต่ผลปรากฏว่าการยืนตากแดดครั้งนั้นแทบไม่มีผลใดๆต่อผมเลยสักนิด ซึ่งผมคาดเดาว่าคงเป็นเพราะบ้านเราอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร ดวงอาทิตย์คงอยู่ใกล้กว่า แผ่รังสีอมาได้มากกว่าที่ยุโรปนี้ เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อว่ามันจะส่งผลต่างกันขนาดนี้ทั้งๆที่อยู่บนโลกกลมๆดวงเดียวกันนี่เอง เรื่องที่ยกมานี่คือตัวอย่างของคำตอบที่ได้จากการเดินทาง เป็นคำตอบที่เราประทับมันไว้ด้วยความเข้าใจ จากการพบเจอด้วยตัวของเราเอง ซึ่งมันมีน้ำหนักมากกว่าจากคำบอกเล่ามากนัก การเดินทางในครั้งนี้ให้คำตอบประเภทที่คล้ายๆกันอย่างนี้ให้แก่ผมอีกหลายต่อหลายเรื่อง การพบเจอคำตอบเหล่านี้เป็นความสนุกสนานอย่างหนึ่งเมื่อเราคอยมองหามันในแต่ละครั้งที่เราออกเดินทาง



          ส่วนตัวผมเองแล้วคิดว่า การเดินทางนั้นเป็นเหมือนกับกำไรของชีวิต คือเราสามารถไม่มีมันก็ได้ ถึงแม้เราจะไม่ต้องเดินทางไปไหนเลยก็ยังสามารถใช้ชีวิตไปได้อย่างไม่เดือดร้อนอะไร แต่เมื่อเราได้ออกเดินทางไป เราจะได้ไปพบกับสิ่งที่นอกเหนือจากชีวิตของเราเอง นั้นคือชีวิตของคนอื่น ผู้คนที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาในแบบที่ไม่เหมือนกับเรา ดำเนินชีวิตผ่านปัจจัยรอบตัวที่ต่างจากเรา และเราจะได้ทดลองดำเนินชีวิตแบบคนอื่นในช่วงเวลาสั้นๆที่เราเดินทาง เป็นการออกไปรับรู้ชีวิตแบบอื่นผมถึงคิดว่ามันเป็นกำไรของชีวิต

แน่นอนว่าการจะออกเดินทางไปหากำไรชีวิตในแต่ละครั้ง มันไม่ได้ไปกันง่ายดายเช่นนั้น ทั้งเรื่องปัจจัยเงินทอง ทั้งเรื่องเวลาโอกาส ภาษา วีซ่า และเรื่องอื่นๆอีกมากมายหลายหลากเหลือเกิน ที่เป็นอุปสรรคขวางทางเราอยู่ แต่อย่างหนึ่งที่ผมอยากจะยืนยันคือ ผลตอบแทนที่จะได้มามันคุ้มค่าแน่นอนกับการที่เราจะสู้เพื่อให้ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายเหล่านั้นและได้ออกเดินทางไป ตราบใดที่เราไม่นำอุปสรรคเหล่านั้นมาใช้เป็นข้ออ้างให้กับตัวเองไปเสียก่อน


สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ผมอยากจะเล่าคือข้อดีทั้งหลายทั้งปวงของการเดินทางที่ได้กล่าวมา มันเป็นสิ่งที่เราจะไม่สามารถรับรู้หรือรู้สึกได้เลยถ้าเราไม่ได้ออกไปเจอด้วยตัวของเราเอง ที่กล้าบอกเช่นนี้เพราะผมได้เรียนรู้มันจากตัวเอง ตัวผมนั้นมีคนใกล้ตัวคนหนึ่งซึ่งเธอได้เคยออกเดินทางไปก่อนผม และได้กลับมาพร้อมกับบรรดารูปถ่าย คำบอกเล่าเรื่องราว ความรู้สึก ความนึกคิด รวมถึงผลลัพธ์ของสิ่งต่างๆที่ได้รับมาจากการเดินทาง ในตอนนั้นตัวผมเองก็มีความตื่นเต้นร่วมไปกับเธอด้วย และรับฟัง,รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอนำมาถ่ายทอดให้ โดยที่คิดว่าเข้าใจมัน แต่เมื่อผมได้ออกเดินทางไปด้วยตัวเองแล้ว ถึงได้รู้ว่านั้นมันไม่สามารถเรียกได้ว่าความเข้าใจเลยสักนิด มันเป็นแค่เรื่องที่เรารับรู้เพียงเท่านั้น เรื่องราวที่ผ่านการสังเคราะห์โดยตัวเราเองนั้นมันถึงจะมีน้ำหนักของความเข้าใจอยู่จริงๆ ดังนั้นเชื่อผมเถอะครับเมื่อใดที่คุณออกเดินทางไปด้วยตัวเอง คุณจะเข้าใจได้ในสิ่งที่คุณเคยรับรู้ และคุณจะรู้สึกได้ในสิ่งที่คุณเคยเข้าใจ



 
          อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับว่าการเดินทางที่ผมพูดมาตั้งแต่ต้นนี่ มันจะต้องเป็นการเดินทางไปไกลๆ ไปต่างจังหวัด ต่างประเทศเพียงเท่านั้น ผมให้ความสำคัญกับตรงที่ว่ามันเป็นการเดินทางที่ต่างออกไปจากชีวิตปกติประจำวัน เป็นการออกไปใช้ตัวตนแห่งการเรียนรู้ของเรา เพราะฉนั้นระยะทางมันจึงไม่ใช้สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่เราตีความว่าสิ่งที่แตกต่างจากการใช้ชีวิตปกติประจำวันของเราคืออะไร และเราเปิดตัวเองสำหรับการมองหาและเรียนรู้สิ่งต่างๆมากแค่ไหน เพราะฉนั้นมันอาจจะไม่ต้องออกไปไหนไกลๆก็เป็นได้ เพียงแค่ว่าระยะทางที่ไกลออกไปมันก็เพิ่มโอกาศที่เราจะพบเจอสิ่งที่แต่งต่างได้มากกว่า และมันก็จะสนุกตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้นเองครับ อย่างไรก็ตามสุดท้ายนี้ขอให้ทุกๆคนสนุกกับการออกเดินทางของตัวเองนะครับ..........


(สำหรับเรื่องราวของการเดินทางไปที่ประเทศเยอรมันและฝรั่งเศษของผม ผมได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่ก่อนไปว่าจะพยายามเรียบเรียงนำมาเขียนเป็นบทความให้ได้ คิดว่าวันใดวันหนึ่งจะต้องสำเร็จออกมาอย่างที่หวังไว้แน่นอนครับ เพียงแต่ยังไม่ทราบว่าเมื่อใดเท่านั้นเอง)

No comments:

Post a Comment